คุณกำลังทรมานจากอาการเหล่านี้หรือไม่?

เทคโนโลยีการรักษาล่าสุด เพื่อรักษาอาการของหมอนรองกระดูกสันหลังระดับคอ/ระดับเอวเคลื่อน และโรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ

หากคุณกำลังทุกข์ทรมานจากอาการของหมอนรองกระดูกสันหลังระดับคอเคลื่อน, หมอนรองกระดูกสันหลังระดับเอวเคลื่อน, โรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ และโรคกระดูกต้นคอเสื่อมกดทับเส้นประสาท เราแนะนำให้คุณอ่านหน้านี้ต่อ เวชศาสตร์ฟื้นสภาพ (การรักษาด้วยสเต็มเซลล์) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการรักษาล่าสุด อาจช่วยแก้ปัญหาให้คุณได้

คลินิกของเราสามารถให้การรักษากับอาการที่ยกตัวอย่างด้านขวา ด้วยวิธีการที่ใหม่ล่าสุด คือเวชศาสตร์ฟื้นสภาพ

อาการของหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนที่คลินิกของเราสามารถให้การรักษาด้วยเวชศาสตร์ฟื้นสภาพได้

หมอนรองกระดูกสันหลังระดับคอเคลื่อน

หมอนรองกระดูกสันหลังระดับเอวเคลื่อน

โรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ

โรคกระดูกต้นคอเสื่อมกดทับเส้นประสาท

หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน คืออะไร

หมอนรองกระดูกสันหลัง ประกอบขึ้นจากเนื้อเยื่อด้านใน (Nucleus pulposus) ซึ่งมีองค์ประกอบของน้ำมากและมีลักษณะคล้ายวุ้น และเนื้อเยื่อด้านนอก (Annulus fibrosus) ซึ่งเป็นกระดูกอ่อนที่ล้อมรอบเนื้อเยื่อด้านในนั้น การที่เนื้อเยื่อด้านในปลิ้นทะลุเนื้อเยื่อด้านนอกออกมา เรียกว่า หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน

กระดูกสันหลังสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างยืดหยุ่นและรองรับน้ำหนักตัวด้วยกันกระแทกที่เรียกว่า “หมอนรองกระดูกสันหลัง” อย่างไรก็ตาม การที่มีอายุมากขึ้นหรือการยกของหนัก อาจทำให้หมอนรองกระดูกสันหลังผิดรูปและปลิ้นออกมา นี่ก็คือโรคหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน

หมอนรองกระดูกสันหลังระดับคอเคลื่อน/หมอนรองกระดูกสันหลังระดับเอวเคลื่อน

เมื่อหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนที่กระดูกสันหลังระดับคอ เราจะเรียกว่า หมอนรองกระดูกสันหลังระดับคอเคลื่อน และหากมันเกิดขึ้นที่กระดูกสันหลังระดับเอว จะเรียกว่าหมอนรองกระดูกสันหลังระดับเอวเคลื่อน โรคนี้จะทำให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น อาการชาที่มือและเท้า ความผิดปกติของการเคลื่อนไหว และกล้ามเนื้ออ่อนแรง
การที่เนื้อเยื่อด้านในปลิ้นทะลุเนื้อเยื่อด้านนอกออกมา เรียกว่า หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน

โรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ

ในกระดูกสันหลัง จะมีโพรงที่ชื่อว่า โพรงกระดูกสันหลัง และภายในนั้นจะมีเส้นประสาทจากไขสันหลังอยู่

และที่ด้านหลังของเส้นประสาทไขสันหลัง จะมีเอ็นสีเหลือง (Ligamentum flavum) อยู่ โรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ ซึ่งพบได้มากในผู้ใหญ่วัยกลางคนจนถึงผู้สูงอายุ คือสภาพที่โพรงกระดูกสันหลังตีบแคบเนื่องจากการปลิ้นของหมอนรองกระดูกสันหลัง การหนาตัวของเอ็นสีเหลือง หรือการผิดรูปของตัวกระดูกสันหลังเอง

โรคนี้จะทำให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น อาการชาที่มือและเท้า ความผิดปกติของการเคลื่อนไหว และ intermittent claudication (อาการชาที่ก้นหรือขาตอนเดิน ถ้าหยุดพักจะดีขึ้น) เป็นต้น

โรคกระดูกต้นคอเสื่อมกดทับเส้นประสาท

โรคนี้เกิดจากการที่ไขสันหลังที่อยู่ด้านหลังกระดูกสันหลังระดับคอถูกกดทับ เนื่องจากการปลิ้นของหมอนรองกระดูกสันหลัง การหนาตัวของเอ็นสีเหลือง หรือการผิดรูปของตัวกระดูกสันหลังเอง ทำให้เกิดอาการชาหรือเจ็บที่มือ กล้ามเนื้ออ่อนแรง และความผิดปกติของการเดิน เช่น เดินสะดุดบ่อย ๆ เป็นต้น

การรักษาด้วยเวชศาสตร์ฟื้นสภาพเหมาะกับคนแบบไหน?

ผู้ป่วยแบบนี้ รองรับการรักษาด้วยเวชศาสตร์ฟื้นสภาพ

ผู้ป่วยโรคหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน หรือโรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ
user_1
user_2
user_3
user_4
ได้รับการผ่าตัดโรคหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน หรือโรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบแล้ว แต่ว่า
user5
user_6
user_7
user_8
การผ่าตัดหมอนรองกระดูกสันหลังระดับคอเคลื่อน/หมอนรองกระดูกสันหลังระดับเอวเคลื่อน/โรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ/โรคกระดูกต้นคอเสื่อมกดทับเส้นประสาท จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการหลังผ่าตัดเสมอ เพราะเป็นการผ่าตัดที่เกี่ยวข้องกับเส้นประสาท ถึงแม้ว่าจะได้รับการผ่าตัดแล้ว แต่ก็อาจจะยังมีอาการชาหรือเจ็บหลงเหลือได้ และอาจไม่สามารถฟื้นเรี่ยวแรงของกล้ามเนื้อให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ ในบางครั้ง อาจมีอาการที่ไม่เคยมีมาก่อนเกิดขึ้นหลังผ่าตัดได้ด้วยซ้ำ

รู้สึกทรมานกับอาการที่ตามมาหลังการผ่าตัด

แม้ว่าจะรับการผ่าตัดแล้ว แต่ก็มีอาการชา เจ็บ และกล้ามเนื้ออ่อนแรงเกิดขึ้นใหม่อีก หรือ แม้ว่าจะรับการผ่าตัดแล้ว แต่อาการทรุดหนักลงกว่าเดิม หรือมีอาการที่ไม่เคยมีมาก่อนเกิดขึ้นใหม่

แม้ว่าจะรับการผ่าตัดแล้ว แต่อาการผิดปกติเกี่ยวกับระบบขับถ่ายไม่ดีขึ้น เช่น ปัสสาวะบ่อย ท้องผูก หรือ อาการผิดปกติเกี่ยวกับระบบขับถ่ายเกิดขึ้นใหม่หลังการผ่าตัด

อาการชาหรือเจ็บ และกล้ามเนื้ออ่อนแรง

อาการทรุดหนักลง หรือมีอาการเกิดขึ้นใหม่หลังการผ่าตัด

อาการปัสสาวะบ่อยและท้องผูกไม่ดีขึ้น

อาการผิดปกติเกี่ยวกับระบบขับถ่ายเกิดขึ้นหลังการผ่าตัด

ทำไม!? อาการแย่ลงหลังการผ่าตัด

การผ่าตัดอาจแก้ไขการกดทับเส้นประสาทได้แล้วก็จริง แต่ก็ยังมีโอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียงต่าง ๆ เช่น อาการไม่ดีขึ้นเท่าที่คิด อาการรุนแรงมากกว่าเดิม หรือมีอาการใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนเกิดขึ้น

นั่นเป็นเพราะว่าด้วยคุณสมบัติของเส้นประสาท ถึงจะแก้ไขให้การกดทับดีขึ้นแล้ว แต่ถ้าเกิดการกดทับไปเป็นระยะเวลาหนึ่ง อาจทำให้เกิดความเสียหายที่ไม่สามารถฟื้นตัวได้ และทำให้อาการผิดปกติของเส้นประสาทค่อย ๆ ทรุดหนักลง

ยิ่งเวลาที่เกิดการกดทับนานเท่าไหร่ โอกาสที่จะเกิดความผิดปกติเหล่านี้ก็มีมากขึ้นเท่านั้น

คำกล่าวจากแพทย์ที่น่าผิดหวังหลังจากการผ่าตัด

“การผ่าตัดสำเร็จไปด้วยดีแล้ว ไม่มีการรักษาที่ทำได้อีก” “อาการที่ตามมาเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะนี่เป็นการผ่าตัดเกี่ยวกับระบบประสาท”

จากเรื่องราวที่ได้ฟังจากผู้ป่วยที่มาที่คลินิกเรา จะพบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่ต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการชา ปวด และกล้ามเนื้ออ่อนแรง จนมีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เพราะว่าแพทย์ที่ทำการผ่าตัดกล่าวว่า “การผ่าตัดสำเร็จไปด้วยดีแล้ว ไม่มีการรักษาที่ทำได้อีก” หรือ “อาการที่ตามมาเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะนี่เป็นการผ่าตัดเกี่ยวกับระบบประสาท”

ในปัจจุบันมีการพัฒนายาแก้อาการชาหรือยาแก้ปวดหลายชนิด แต่ก็ยังมีหลายกรณีที่อาการไม่ดีขึ้นเลย

ถูกแพทย์บอกว่าไม่สามารถทำอะไรได้เวชศาสตร์ฟื้นสภาพ (การรักษาด้วยสเต็มเซลล์) ที่ทำให้อาการที่ตามมาดีขึ้น

ที่คลินิกของเรา เรามุ่งเน้นที่จะแก้ไขอาการที่ตามมาหลังผ่าตัดให้ดีขึ้นด้วยเวชศาสตร์ฟื้นสภาพ! อาการที่ตามมาหลังการผ่าตัด มักจะไม่สามารถรักษาได้ด้วยสิทธิการรักษา เวชศาสตร์ฟื้นสภาพจึงเป็นทางเลือกใหม่ที่เสนอให้ผู้ป่วยได้หลังจากที่พิจารณาแล้วว่าไม่สามารถทำการรักษาอื่นใดได้อีก

การรักษาด้วยสิทธิการรักษาทั่วไป มีขีดจำกัด

choice01

ช่วยไม่ได้
ทำอะไรไม่ได้แล้ว

ตัวเลือกใหม่ ที่เปิดทางก้าวข้ามขีดจำกัด

choice02

มุ่งเน้นไปที่ความเป็นไปได้
ของเวชศาสตร์ฟื้นสภาพ/การรักษาด้วยสเต็มเซลล์

เวชศาสตร์ฟื้นสภาพที่คลินิกของเรา จะทำการรักษาด้วย “การฉีดสเต็มเซลล์เข้าโพรงไขสันหลังโดยตรง” ซึ่งเป็นวิธีที่แทบจะไม่มีที่อื่นที่ทำในประเทศญี่ปุ่น ให้กับผู้ป่วยที่อาการไม่ดีขึ้นหรือทรุดหนักลงหลังจากทำการผ่าตัด สเต็มเซลล์ที่ใช้จะเป็นสเต็มเซลล์ที่เพาะเลี้ยงโดยไม่แช่แข็ง ซึ่งเป็นวิธีการเพาะเลี้ยงที่เป็นเอกลักษณ์ของคลินิกเรา

มุ่งเน้นไปที่ความเป็นไปได้ ของเวชศาสตร์ฟื้นสภาพ

– การรักษาด้วยสเต็มเซลล์ –

ฉีดสเต็มเซลล์บริเวณที่ได้รับบาดเจ็บโดยตรง เอกลักษณ์ของคลินิกของเรา วิธีฉีดเซลล์เข้าโพรงไขสันหลัง!!

เวชศาสตร์ฟื้นสภาพสำหรับการบาดเจ็บที่ไขสันหลัง โดยทั่วไปมักจะฉีดสเต็มเซลล์ทางหลอดเลือดดำ และรอให้เซลล์ไปถึงไขสันหลังทางกระแสเลือด อย่างไรก็ตาม ด้วยวิธีนี้สเต็มเซลล์ที่ฉีดเข้าไปในหลอดเลือดจะกระจายไปทั่วร่างกาย ปริมาณของสเต็มเซลล์ที่ไปถึงไขสันหลังส่วนที่เสียหายจึงมีจำนวนจำกัด
คลินกของเราให้การรักษาวิธีใหม่ คือการฉีดสเต็มเซลล์ไปยังบริเวณที่เสียหายของไขสันหลังโดยตรง ซึ่งเป็นวิธีที่แทบจะไม่มีที่อื่นทำได้ในประเทศญี่ปุ่น วิธีการรักษานี้ จะทำการฉีดสเต็มเซลล์เข้าไปโดยตรงไปยังบริเวณที่เสียหายของไขสันหลัง จึงสามารถคาดหวังผลการรักษา/ฟื้นฟูเส้นประสาทที่ไขสันหลังได้มากกว่าการฉีดเซลล์ทางหลอดเลือดดำ

การรักษาด้วยการฉีดเซลล์เข้าไขสันหลังโดยตรง

การรักษาใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที เป็นการรักษาง่าย ๆ โดยการฉีดเซลล์เท่านั้น จึงไม่ค่อยรู้สึกเจ็บ นอกจากนี้ เราสามารถคาดหวังผลการรักษาที่เพิ่มขึ้นได้ เมื่อใช้ร่วมกับการให้สเต็มเซลล์ทางหลอดเลือดดำ

STEP1

เราจะฉีดเซลล์เข้าโพรงใต้เยื่อหุ้มไขสันหลังชั้นกลาง (โพรงไขสันหลัง) ด้วยเข็มขนาดเล็ก

STEP2

หลังจากที่ฉีด สเต็มเซลล์จะไหลเข้าน้ำไขสันหลัง

STEP3

เนื่องจากน้ำไขสันหลังจะไหลเวียนอยู่ในโพรงไขสันหลัง จึงสามารถพาสเต็มเซลล์ไปยังบริเวณที่เสียหายได้

การฉีดเซลล์เข้าไขสันหลังโดยตรงเป็นเวชศาสตร์ฟื้นสภาพที่คาดหวังผลได้สูง

โดยทั่วไปแล้ว เวชศาสตร์ฟื้นสภาพสำหรับเส้นประสาทที่ไขสันหลัง มีแต่วิธีการฉีดเซลล์เข้าทางหลอดเลือดดำ

แต่ด้วยวิธีดั้งเดิมนี้ จะไม่สามารถส่งสเต็มเซลล์ปริมาณมากไปที่ไขสันหลังได้ “การรักษาด้วยการฉีดเซลล์เข้าไขสันหลังโดยตรง” จะทำให้สามารถฟื้นฟูเส้นประสาทที่เสียหายได้ ด้วยสเต็มเซลล์จำนวนมาก

ดังนั้น จึงสามารถคาดหวังผลการรักษาที่สูงกว่ามากได้ เมื่อเทียบกับการรักษาแบบดั้งเดิม

แน่นอนว่าการรักษาด้วยสเต็มเซลล์โดยการฉีดทางหลอดเลือดดำ ก็มีข้อดีเหมือนกัน เพราะว่ามันสามารถรักษาเส้นประสาทที่ไม่ครอบคลุมด้วย “การรักษาด้วยการฉีดเซลล์เข้าไขสันหลังโดยตรง” ได้

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความเสียหายของเส้นประสาทจากหมองรองกระดูกสันหลังเคลื่อนหรือโรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในไขสันหลัง การฉีดสเต็มเซลล์เข้าไขสันหลังโดยตรงจึงมีความหมายอย่างมาก

คลินิกของเราได้ยื่นแผนการให้การรักษา “การฉีดสเต็มเซลล์เข้าไขสันหลัง” ซึ่งเป็นการรักษาที่แทบไม่มีที่อื่นทำในประเทศให้กับกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ และได้รับการอนุมัติเรียบร้อยแล้ว

สถาบันการแพทย์ที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ

อนุมัติแผนการให้การรักษาเวชศาสตร์ฟื้นสภาพประเภท 2/3 แล้ว

อนุมัติแผนการให้การรักษาเวชศาสตร์ฟื้นสภาพประเภท 2/3 แล้ว
รีแพร์เซลล์คลินิก ได้รับการอนุญาตจากรัฐบาลญี่ปุ่น (กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ) ในการให้บริการเวชศาสตร์ฟื้นสภาพ

การรักษาอาการบาดเจ็บที่ไขสันหลัง โดยใช้สเต็มเซลล์ที่ได้มาจากไขมันของผู้ป่วยเอง

จุดแข็งของสเต็มเซลล์ของเรา

   คลินิกของเราจุดเด่น ①

เนื่องจากมีการเพาะเลี้ยงโดยไม่แช่แข็ง

คุณภาพของสเต็มเซลล์จึงสูง

เราจะเพาะเลี้ยงเซลล์ใหม่ทุกครั้งที่ฉีดเซลล์โดยไม่แช่แข็ง สเต็มเซลล์จึงมีอัตราการรอดชีวิตที่สูง

ในห้องแปรรูปเซลล์ทั่วไปแม้ว่าจะเก็บแข่แข็งไว้ระหว่างการขนส่ง ก็ยังมีเซลล์ที่ตายอยู่ดี

นอกจากนี้ โดยทั่วไปเซลล์ที่ถูกเพาะเลี้ยงและเก็บแช่แข็งไว้ จะถูกขนส่งไปที่สถาบันการแพทย์อื่นระหว่างที่ถูกเก็บแช่แข็งไว้เช่นกัน

เซลล์ที่ขนส่งจะถูกละลายแข็งที่สถาบันการแพทย์ แต่ในตอนที่ละลายแข็งก็มีเซลล์จำนวนมากที่ตายและอ่อนแอลง

   คลินิกของเรา จุดเด่น ②

เนื่องจากใช้เลือดของผู้ป่วยเองในการเพาะเลี้ยงเซลล์

จึงมีความปลอดภัยสูง

ทำให้ความปลอดภัยและอัตราการอยู่รอดที่สูงเป็นจริง

เนื่องจากที่คลินิกของเราใช้เลือดของผู้ป่วยเองในการเพาะเลี้ยงเซลล์ จึงไม่มีการปนเปื้อนของสิ่งแปลกปลอมหรือสารเคมี ทำให้มีความปลอดภัยและอัตราการอยู่รอดของเซลล์ที่สูง ในสถาบันการเพาะเลี้ยงบางแห่ง จะใช้เลือดวัวหรือเลือดสังเคราะห์ (Serum free medium) ในการเพาะเลี้ยงเซลล์
โดยทั่วไปในการเพาะเลี้ยงเซลล์ มักจะใช้เลือดวัวหรือเลือดสังเคราะห์ (Serum free medium) ในการเพาะเลี้ยงเซลล์สำหรับการวิจัย แต่ถ้าเป็นเซลล์ที่ใช้ในเชิงปฏิบัติและต้องฉีดเข้าร่างกายคน ก็ยังมีความกังวลเกี่ยวกับอาการแพ้โปรตีนวัวและโรควัวบ้าอยู่

นอกจากนี้ ในการเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์โดยใช้เลือดของผู้ป่วยเองจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงขั้นสูง แต่สเต็มเซลล์ที่เพาะเลี้ยงด้วยเลือดของผู้ป่วยเองจะมีชีวิตชีวามาก สามารถซ่อมแซมบริเวณที่เสียหายได้เป็นอย่างดี และสามารถคาดหวังผลการรักษาที่มากขึ้นได้

การเพาะเลี้ยงเซลล์ด้วยเลือดของผู้ป่วยเองเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่จะทำให้เซลล์ที่ได้มีชีวิตชีวามากกว่านะ

สุดท้ายแล้ว การใช้เซลล์และเลือดที่มาจากคนเดียวกัน จะทำให้เข้ากันได้ดีกว่านั่นเอง

   คลินิกของเราจุดเด่น ③

วิธีการเพาะเลี้ยงเซลล์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของคลินิกเรา

วิธีการเพาะเลี้ยงแบบดั้งเดิม

ที่คลินิกของเราสามารถเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ที่มีชีวิตชีวาได้ โดยการใช้ชีทแยกเซลล์ที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งผ่านการวิจัยและพัฒนาเป็นเวลานาน

ในสถาบันการแพทย์ส่วนใหญ่ จะใช้วิธีการเพาะเลี้ยงด้วยเอนไซม์สลายไขมันซึ่งเป็นวิธีดั้งเดิม ซึ่งจะทำให้เซลล์อ่อนแอและมีอัตราการอยู่รอดต่ำลง

ถึงแม้ว่าเราจะพูดถึงเวชศาสตร์ฟื้นสภาพเหมือนกัน แต่เทคนิคการเพาะเลี้ยงเซลล์จะแตกต่างกันไปในแต่ละคลินิกโดยสิ้นเชิงเลยล่ะ

มันเหมือนกับการทำอาหารเลยนะ ถึงจะใช้วัตถุดิบเดียวกัน แต่ถ้าเชฟและวิธีการปรุงต่างกัน ก็จะได้อาหารที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง

การใช้ “ชีทแยกเซลล์” ที่พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะ จะทำให้สามารถเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ที่มีชีวิตชีวาได้นี่เอง

การเพาะเลี้ยงเซลล์โดยการใช้ “ชีทแยกเซลล์” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีขั้นสูง แทบจะไม่มีคนอื่นในประเทศทำเลยนะ

ห้องแปรรูปเซลล์ของคลินิกเรา ทำการวิจัยเกี่ยวกับวิธีการเพาะเลี้ยงเซลล์ทุกวัน เพื่อมุ่งเน้นการเพาะเลี้ยงเซลล์ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นนี่เอง!

   คลินิกของเราจุดเด่น ④

อัตราการอยู่รอดและอัตราการทำงานสูง

อัตราการอยู่รอดและอัตราการทำงานของสเต็มเซลล์

ในการศึกษาเวชศาสตร์ฟื้นสภาพ การทำความเข้าใจเกี่ยวกับอัตราการอยู่รอดและอัตราการทำงานของสเต็มเซลล์มีความสำคัญมาก เวชศาสตร์ฟื้นสภาพที่ใช้สเต็มเซลล์ มีวิธีการเพาะเลี้ยงเซลล์ที่ต่างกันในแต่ละโรงพยาบาล ไม่ได้มีมาตรฐานเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งก็หมายความว่า สเต็มเซลล์จะมีชีวิตชีวาและมีผลการรักษาที่ดีหรือไม่นั้น ก็แตกต่างกันไปในแต่ละโรงพยาบาลเหมือนกันนั่นเอง

อัตราการอยู่รอดและอัตราการทำงานของสเต็มเซลล์แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสถาบันการแพทย์ และหากอัตราการอยู่รอดและอัตราการทำงานต่ำ ก็จะไม่สามารถคาดหวังผลการรักษาเท่าที่คิดได้

ต่อไป เราจะมาอธิบายเกี่ยวกับอัตราการอยู่รอดและอัตราการทำงาน อัตราการอยู่รอด หมายถึง สัดส่วนของสเต็มเซลล์ที่ถูกเพาะเลี้ยงแล้วยังมีชีวิตอยู่

อัตราการทำงานของเซลล์ หมายถึงว่าในสเต็มเซลล์ที่มีชีวิต มีเซลล์ที่แข็งแรงมากเพียงใด
ถึงอัตราการอยู่รอดจะสูงแค่ไหน แต่ถ้าเซลล์ที่มีชีวิตอ่อนแอและไม่แข็งแรง ก็จะไม่สามารถรักษาส่วนที่เสียหายอย่างมีประสิทธิภาพได้ ถึงอัตราการอยู่รอดจะสูง แต่ถ้าเซลล์ที่อ่อนแอและอัตราการทำงานต่ำมีอยู่จำนวนมาก ก็จะทำให้ผลการรักษาด้วยสเต็มเซลล์ต่ำลง อัตราการฝังตัวของสเต็มเซลล์น้อยลง และทำให้ผลการรักษาไม่ดีนั่นเอง
   คลินิกของเราจุดเด่น ⑤

ปริมาณไขมันที่ต้องเก็บน้อย (ขนาดเท่าเม็ดข้าว ประมาณ 2-3 เม็ด)

จึงเกิดภาระต่อร่างกายน้อย
กรีดเปิดบริเวณท้องส่วนล่างประมาณ 1 ซม. เพื่อเก็บไขมัน (ประมาณ 2-3 เม็ด ขนาดเท่าเม็ดข้าว) จะทำการแยกสเต็มเซลล์ออกมาจากไขมันที่เก็บมา และนำไปเพาะเลี้ยงให้ได้จำนวน 10-200 ล้านเซลล์ และฉีดกลับเข้าสู่ร่างกาย (จำนวนเซลล์ที่ฉีดจะเปลี่ยนไป ขึ้นกับว่าจะฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ฉีดเข้าข้อต่อ หรือฉีดเข้าโพรงกระดูกสันหลัง)

เนื่องจากเราจะเพิ่มจำนวนสเต็มเซลล์ด้วยการเพาะเลี้ยง จำนวนเซลล์ที่ต้องเก็บจึงน้อย แผลเล็ก และแทบไม่รู้สึกเจ็บ และเกิดภาระต่อร่างกายน้อยนั่นเอง

   คลินิกของเราจุดเด่น ⑥

เนื่องจากสามารถฉีดเซลล์จำนวนมากกว่า 100 ล้านเซลล์

จึงมีผลการรักษาที่ดี
เราจะเพาะเลี้ยงเซลล์ใหม่ทุกครั้งที่ฉีดเซลล์โดยไม่แช่แข็ง สเต็มเซลล์จึงมีอัตราการรอดชีวิตที่สูง

เปรียบเทียบผลการรักษา (สำหรับการฟื้นสภาพกระดูกอ่อน)

การรักษาทั่วไป

การรักษาที่คลินิกของเรา

ถ้าเทียบกับการฉีดเซลล์ 10 ล้านเซลล์ การฉีดเซลล์ 100 ล้านเซลล์ จะทำให้เกิดการสร้างกระดูกอ่อนมากกว่า!

arrow-conclusion_1

ยิ่งจำนวนสเต็มเซลล์ที่ฉีดมากขึ้นเท่าไหร่

ผลการรักษายิ่งดีขึ้นเท่านั้น

ดูจากภาพจะเห็นได้ชัดเลยว่า ยิ่งมีการฉีดสเต็มเซลล์จำนวนมากเท่าไหร่ ก็จะมีการสร้างกระดูกอ่อนใหม่มากขึ้นเท่านั้น!

จำนวนสเต็มเซลล์ที่ฉีดเข้าไปในข้อต่อ โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านเซลล์ แต่ว่าที่คลินิกของเรา เราสามารถฉีดสเต็มเซลล์สดใหม่ที่ไม่ได้แช่แข็งได้มากกว่า 100 ล้านเซลล์ โดยขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยเลยล่ะ

ข้อมูลทางคลินิกจากต่างประเทศพิสูจน์มาแล้วว่ายิ่งใช้สเต็มเซลล์มากเท่าไหร่ ผลการรักษาก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้น

ขั้นตอนการรักษาด้วยสเต็มเซลล์

ที่คลินิกของเรา การรักษาสเต็มเซลล์จะดำเนินตามขั้นตอนต่อไปนี้

01 การตรวจครั้งแรกและการซักประวัติ (ประมาณ 2 ชั่วโมง)

แพทย์จะตรวจสอบสภาพของผู้ป่วยอย่างละเอียด และยืนยันว่าการรักษาด้วยสเต็มเซลล์นั้นเหมาะสมหรือไม่ หลังจากยืนยันแล้ว จะมีการอธิบายกระบวนการรักษาและเนื้อหาอย่างละเอียด และหากได้รับความยินยอม เราจะทำการเจาะเลือดเพื่อตรวจว่ามีโรคติดต่อหรือความผิดปกติอื่น ๆ หรือไม่ หลังจากนั้นจะขอให้ผู้ป่วยส่งแบบฟอร์มความยินยอม และจะเริ่มต้นการรักษา

02 การเก็บเซลล์ (ประมาณ 30 นาที)

ผู้ป่วยจะได้รับการฉีดยาชาที่บริเวณท้องส่วนล่าง เพื่อเก็บเนื้อเยื่อไขมันประมาณ 3 เม็ด ขนาดเท่าเม็ดข้าว

03 กระบวนการเพาะเลี้ยงเซลล์

คลินิกของเราเป็นศูนย์เพาะเลี้ยงเซลล์ที่จดทะเบียนกับกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ เนื้อเยื่อไขมันที่เก็บมา จะถูกแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์เซลล์ที่จำเป็นสำหรับการรักษา ด้วยกระบวนการเฉพาะทาง

04 การฉีดสเต็มเซลล์เข้าไปในโพรงไขสันหลังโดยตรง

・การฉีดเข้าหลอดเลือดดำ (ประมาณ 50 นาที)
・การฉีดเฉพาะที่ (ประมาณ 5 นาที ~)
เวชศาสตร์ฟื้นสภาพ มีความเป็นไปได้ใหม่ซ่อนอยู่ สิ่งที่เคยถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ยาก สามารถทำให้เป็นจริงได้ด้วยการรักษาด้วยสเต็มเซลล์ เราหวังอย่างยิ่งว่าการรักษานี้จะเป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อย ๆ และกลายเป็นความหวังใหม่สำหรับหลาย ๆ คน

สถาบันการแพทย์ที่ได้รับอนุญาตจาก

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ

อนุมัติแผนการให้การรักษาเวชศาสตร์ฟื้นสภาพประเภท 2/3 แล้ว

รีแพร์เซลล์คลินิก ทำการยื่นแผนการให้การรักษาเวชศาสตร์ฟื้นสภาพประเภท 2/3
ให้กับกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ ซึ่งได้รับการอนุมัติแล้ว

การรักษาอาการบาดเจ็บที่ไขสันหลัง โดยใช้สเต็มเซลล์ที่ได้มาจากไขมันของผู้ป่วยเอง

คลินิกของเราเป็นหนึ่งในไม่กี่แห่งในญี่ปุ่น ที่มีเวชศาสตร์ฟื้นสภาพที่ล้ำสมัยสำหรับ “โรคข้อต่อผิดรูป” “โรคหลอดเลือดสมอง” “โรคเบาหวาน” “โรคตับ” “การฟื้นสภาพผิว” ฯลฯ โดยใช้สเต็มเซลล์ของผู้ป่วยเองในการรักษา และการฉีด PRP (พลาสม่าเกล็ดเลือดเข้มข้น) ภายในข้อ ภายใต้กฎหมายความปลอดภัยเวชศาสตร์ฟื้นสภาพ เวชศาสตร์ฟื้นสภาพ ต้องได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดโดยคณะกรรมการเวชศาสตร์ฟื้นสภาพที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ และหลังจากที่วิธีการรักษา ความปลอดภัย โครงสร้างบุคลากรทางการแพทย์ ฯลฯ ถูกพิจารณาว่าเหมาะสมแล้วเท่านั้น จึงจะยื่นแผนการรักษาไปยัง กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการได้