เทคโนโลยีการรักษาล่าสุด เพื่อรักษาอาการของหมอนรองกระดูกสันหลังระดับคอ/ระดับเอวเคลื่อน และโรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ
คลินิกของเราสามารถให้การรักษากับอาการที่ยกตัวอย่างด้านขวา ด้วยวิธีการที่ใหม่ล่าสุด คือเวชศาสตร์ฟื้นสภาพ
อาการของหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนที่คลินิกของเราสามารถให้การรักษาด้วยเวชศาสตร์ฟื้นสภาพได้
หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน คืออะไร
กระดูกสันหลังสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างยืดหยุ่นและรองรับน้ำหนักตัวด้วยกันกระแทกที่เรียกว่า “หมอนรองกระดูกสันหลัง” อย่างไรก็ตาม การที่มีอายุมากขึ้นหรือการยกของหนัก อาจทำให้หมอนรองกระดูกสันหลังผิดรูปและปลิ้นออกมา นี่ก็คือโรคหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน
หมอนรองกระดูกสันหลังระดับคอเคลื่อน/หมอนรองกระดูกสันหลังระดับเอวเคลื่อน
โรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ
และที่ด้านหลังของเส้นประสาทไขสันหลัง จะมีเอ็นสีเหลือง (Ligamentum flavum) อยู่ โรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ ซึ่งพบได้มากในผู้ใหญ่วัยกลางคนจนถึงผู้สูงอายุ คือสภาพที่โพรงกระดูกสันหลังตีบแคบเนื่องจากการปลิ้นของหมอนรองกระดูกสันหลัง การหนาตัวของเอ็นสีเหลือง หรือการผิดรูปของตัวกระดูกสันหลังเอง
โรคนี้จะทำให้เกิดอาการต่าง ๆ เช่น อาการชาที่มือและเท้า ความผิดปกติของการเคลื่อนไหว และ intermittent claudication (อาการชาที่ก้นหรือขาตอนเดิน ถ้าหยุดพักจะดีขึ้น) เป็นต้น
โรคกระดูกต้นคอเสื่อมกดทับเส้นประสาท
การรักษาด้วยเวชศาสตร์ฟื้นสภาพเหมาะกับคนแบบไหน?
ผู้ป่วยแบบนี้ รองรับการรักษาด้วยเวชศาสตร์ฟื้นสภาพ
รู้สึกทรมานกับอาการที่ตามมาหลังการผ่าตัด
แม้ว่าจะรับการผ่าตัดแล้ว แต่อาการผิดปกติเกี่ยวกับระบบขับถ่ายไม่ดีขึ้น เช่น ปัสสาวะบ่อย ท้องผูก หรือ อาการผิดปกติเกี่ยวกับระบบขับถ่ายเกิดขึ้นใหม่หลังการผ่าตัด
ทำไม!? อาการแย่ลงหลังการผ่าตัด
นั่นเป็นเพราะว่าด้วยคุณสมบัติของเส้นประสาท ถึงจะแก้ไขให้การกดทับดีขึ้นแล้ว แต่ถ้าเกิดการกดทับไปเป็นระยะเวลาหนึ่ง อาจทำให้เกิดความเสียหายที่ไม่สามารถฟื้นตัวได้ และทำให้อาการผิดปกติของเส้นประสาทค่อย ๆ ทรุดหนักลง
ยิ่งเวลาที่เกิดการกดทับนานเท่าไหร่ โอกาสที่จะเกิดความผิดปกติเหล่านี้ก็มีมากขึ้นเท่านั้น
คำกล่าวจากแพทย์ที่น่าผิดหวังหลังจากการผ่าตัด
“การผ่าตัดสำเร็จไปด้วยดีแล้ว ไม่มีการรักษาที่ทำได้อีก” “อาการที่ตามมาเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะนี่เป็นการผ่าตัดเกี่ยวกับระบบประสาท”
ในปัจจุบันมีการพัฒนายาแก้อาการชาหรือยาแก้ปวดหลายชนิด แต่ก็ยังมีหลายกรณีที่อาการไม่ดีขึ้นเลย
ถูกแพทย์บอกว่าไม่สามารถทำอะไรได้เวชศาสตร์ฟื้นสภาพ (การรักษาด้วยสเต็มเซลล์) ที่ทำให้อาการที่ตามมาดีขึ้น
การรักษาด้วยสิทธิการรักษาทั่วไป มีขีดจำกัด
ช่วยไม่ได้
ทำอะไรไม่ได้แล้ว
ตัวเลือกใหม่ ที่เปิดทางก้าวข้ามขีดจำกัด
มุ่งเน้นไปที่ความเป็นไปได้
ของเวชศาสตร์ฟื้นสภาพ/การรักษาด้วยสเต็มเซลล์
มุ่งเน้นไปที่ความเป็นไปได้ ของเวชศาสตร์ฟื้นสภาพ
ฉีดสเต็มเซลล์บริเวณที่ได้รับบาดเจ็บโดยตรง เอกลักษณ์ของคลินิกของเรา วิธีฉีดเซลล์เข้าโพรงไขสันหลัง!!
การรักษาด้วยการฉีดเซลล์เข้าไขสันหลังโดยตรง
STEP1
เราจะฉีดเซลล์เข้าโพรงใต้เยื่อหุ้มไขสันหลังชั้นกลาง (โพรงไขสันหลัง) ด้วยเข็มขนาดเล็ก
STEP2
หลังจากที่ฉีด สเต็มเซลล์จะไหลเข้าน้ำไขสันหลัง
STEP3
เนื่องจากน้ำไขสันหลังจะไหลเวียนอยู่ในโพรงไขสันหลัง จึงสามารถพาสเต็มเซลล์ไปยังบริเวณที่เสียหายได้
การฉีดเซลล์เข้าไขสันหลังโดยตรงเป็นเวชศาสตร์ฟื้นสภาพที่คาดหวังผลได้สูง
แต่ด้วยวิธีดั้งเดิมนี้ จะไม่สามารถส่งสเต็มเซลล์ปริมาณมากไปที่ไขสันหลังได้ “การรักษาด้วยการฉีดเซลล์เข้าไขสันหลังโดยตรง” จะทำให้สามารถฟื้นฟูเส้นประสาทที่เสียหายได้ ด้วยสเต็มเซลล์จำนวนมาก
ดังนั้น จึงสามารถคาดหวังผลการรักษาที่สูงกว่ามากได้ เมื่อเทียบกับการรักษาแบบดั้งเดิม
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความเสียหายของเส้นประสาทจากหมองรองกระดูกสันหลังเคลื่อนหรือโรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในไขสันหลัง การฉีดสเต็มเซลล์เข้าไขสันหลังโดยตรงจึงมีความหมายอย่างมาก
คลินิกของเราได้ยื่นแผนการให้การรักษา “การฉีดสเต็มเซลล์เข้าไขสันหลัง” ซึ่งเป็นการรักษาที่แทบไม่มีที่อื่นทำในประเทศให้กับกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ และได้รับการอนุมัติเรียบร้อยแล้ว
สถาบันการแพทย์ที่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ
อนุมัติแผนการให้การรักษาเวชศาสตร์ฟื้นสภาพประเภท 2/3 แล้ว
การรักษาอาการบาดเจ็บที่ไขสันหลัง โดยใช้สเต็มเซลล์ที่ได้มาจากไขมันของผู้ป่วยเอง
จุดแข็งของสเต็มเซลล์ของเรา
เนื่องจากมีการเพาะเลี้ยงโดยไม่แช่แข็ง
เราจะเพาะเลี้ยงเซลล์ใหม่ทุกครั้งที่ฉีดเซลล์โดยไม่แช่แข็ง สเต็มเซลล์จึงมีอัตราการรอดชีวิตที่สูง
ในห้องแปรรูปเซลล์ทั่วไปแม้ว่าจะเก็บแข่แข็งไว้ระหว่างการขนส่ง ก็ยังมีเซลล์ที่ตายอยู่ดี
เซลล์ที่ขนส่งจะถูกละลายแข็งที่สถาบันการแพทย์ แต่ในตอนที่ละลายแข็งก็มีเซลล์จำนวนมากที่ตายและอ่อนแอลง
เนื่องจากใช้เลือดของผู้ป่วยเองในการเพาะเลี้ยงเซลล์
ทำให้ความปลอดภัยและอัตราการอยู่รอดที่สูงเป็นจริง
นอกจากนี้ ในการเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์โดยใช้เลือดของผู้ป่วยเองจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงขั้นสูง แต่สเต็มเซลล์ที่เพาะเลี้ยงด้วยเลือดของผู้ป่วยเองจะมีชีวิตชีวามาก สามารถซ่อมแซมบริเวณที่เสียหายได้เป็นอย่างดี และสามารถคาดหวังผลการรักษาที่มากขึ้นได้
การเพาะเลี้ยงเซลล์ด้วยเลือดของผู้ป่วยเองเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่จะทำให้เซลล์ที่ได้มีชีวิตชีวามากกว่านะ
สุดท้ายแล้ว การใช้เซลล์และเลือดที่มาจากคนเดียวกัน จะทำให้เข้ากันได้ดีกว่านั่นเอง
วิธีการเพาะเลี้ยงเซลล์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของคลินิกเรา
วิธีการเพาะเลี้ยงแบบดั้งเดิม
ในสถาบันการแพทย์ส่วนใหญ่ จะใช้วิธีการเพาะเลี้ยงด้วยเอนไซม์สลายไขมันซึ่งเป็นวิธีดั้งเดิม ซึ่งจะทำให้เซลล์อ่อนแอและมีอัตราการอยู่รอดต่ำลง
ถึงแม้ว่าเราจะพูดถึงเวชศาสตร์ฟื้นสภาพเหมือนกันแต่เทคนิคการเพาะเลี้ยงเซลล์จะแตกต่างกันไปในแต่ละคลินิกโดยสิ้นเชิงเลยล่ะ
มันเหมือนกับการทำอาหารเลยนะ ถึงจะใช้วัตถุดิบเดียวกันแต่ถ้าเชฟและวิธีการปรุงต่างกัน ก็จะได้อาหารที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
การใช้ “ชีทแยกเซลล์” ที่พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะ จะทำให้สามารถเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ที่มีชีวิตชีวาได้นี่เอง
การเพาะเลี้ยงเซลล์โดยการใช้ “ชีทแยกเซลล์” ซึ่งเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงแทบจะไม่มีคนอื่นในประเทศทำเลยนะ
ห้องแปรรูปเซลล์ของคลินิกเราทำการวิจัยเกี่ยวกับวิธีการเพาะเลี้ยงเซลล์ทุกวันเพื่อมุ่งเน้นการเพาะเลี้ยงเซลล์ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นนี่เอง!
อัตราการอยู่รอดและอัตราการทำงานสูง
อัตราการอยู่รอดและอัตราการทำงานของสเต็มเซลล์
อัตราการอยู่รอดและอัตราการทำงานของสเต็มเซลล์แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสถาบันการแพทย์ และหากอัตราการอยู่รอดและอัตราการทำงานต่ำ ก็จะไม่สามารถคาดหวังผลการรักษาเท่าที่คิดได้
ต่อไป เราจะมาอธิบายเกี่ยวกับอัตราการอยู่รอดและอัตราการทำงาน อัตราการอยู่รอด หมายถึง สัดส่วนของสเต็มเซลล์ที่ถูกเพาะเลี้ยงแล้วยังมีชีวิตอยู่
ปริมาณไขมันที่ต้องเก็บน้อย (ขนาดเท่าเม็ดข้าว ประมาณ 2-3 เม็ด)
เนื่องจากเราจะเพิ่มจำนวนสเต็มเซลล์ด้วยการเพาะเลี้ยง จำนวนเซลล์ที่ต้องเก็บจึงน้อย แผลเล็ก และแทบไม่รู้สึกเจ็บ และเกิดภาระต่อร่างกายน้อยนั่นเอง
เนื่องจากสามารถฉีดเซลล์จำนวนมากกว่า 100 ล้านเซลล์
เปรียบเทียบผลการรักษา (สำหรับการฟื้นสภาพกระดูกอ่อน)
การรักษาทั่วไป
การรักษาที่คลินิกของเรา
ถ้าเทียบกับการฉีดเซลล์ 10 ล้านเซลล์การฉีดเซลล์ 100 ล้านเซลล์จะทำให้เกิดการสร้างกระดูกอ่อนมากกว่า!
ยิ่งจำนวนสเต็มเซลล์ที่ฉีดมากขึ้นเท่าไหร่
ดูจากภาพจะเห็นได้ชัดเลยว่า ยิ่งมีการฉีดสเต็มเซลล์จำนวนมากเท่าไหร่ก็จะมีการสร้างกระดูกอ่อนใหม่มากขึ้นเท่านั้น!
จำนวนสเต็มเซลล์ที่ฉีดเข้าไปในข้อต่อ โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านเซลล์ แต่ว่าที่คลินิกของเรา เราสามารถฉีดสเต็มเซลล์สดใหม่ที่ไม่ได้แช่แข็งได้มากกว่า 100 ล้านเซลล์ โดยขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยเลยล่ะ
ข้อมูลทางคลินิกจากต่างประเทศพิสูจน์มาแล้วว่ายิ่งใช้สเต็มเซลล์มากเท่าไหร่ ผลการรักษาก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้น
ขั้นตอนการรักษาด้วยสเต็มเซลล์
01 การตรวจครั้งแรกและการซักประวัติ (ประมาณ 2 ชั่วโมง)
02 การเก็บเซลล์ (ประมาณ 30 นาที)
03 กระบวนการเพาะเลี้ยงเซลล์
04 การฉีดสเต็มเซลล์เข้าไปในโพรงไขสันหลังโดยตรง
・การฉีดเฉพาะที่ (ประมาณ 5 นาที ~)
สถาบันการแพทย์ที่ได้รับอนุญาตจาก
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ
อนุมัติแผนการให้การรักษาเวชศาสตร์ฟื้นสภาพประเภท 2/3 แล้ว
ให้กับกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ ซึ่งได้รับการอนุมัติแล้ว
การรักษาอาการบาดเจ็บที่ไขสันหลัง โดยใช้สเต็มเซลล์ที่ได้มาจากไขมันของผู้ป่วยเอง
คลินิกของเราเป็นหนึ่งในไม่กี่แห่งในญี่ปุ่น ที่มีเวชศาสตร์ฟื้นสภาพที่ล้ำสมัยสำหรับ “โรคข้อต่อผิดรูป” “โรคหลอดเลือดสมอง” “โรคเบาหวาน” “โรคตับ” “การฟื้นสภาพผิว” ฯลฯ โดยใช้สเต็มเซลล์ของผู้ป่วยเองในการรักษา และการฉีด PRP (พลาสม่าเกล็ดเลือดเข้มข้น) ภายในข้อ ภายใต้กฎหมายความปลอดภัยเวชศาสตร์ฟื้นสภาพ เวชศาสตร์ฟื้นสภาพ ต้องได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดโดยคณะกรรมการเวชศาสตร์ฟื้นสภาพที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ และหลังจากที่วิธีการรักษา ความปลอดภัย โครงสร้างบุคลากรทางการแพทย์ ฯลฯ ถูกพิจารณาว่าเหมาะสมแล้วเท่านั้น จึงจะยื่นแผนการรักษาไปยัง กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการได้