What will happen?

ถ้าเป็นโรคเบาหวาน จะเกิดอะไรขึ้น?

หลังจากที่รับประทานอาหาร คาร์โบไฮเดรตจะถูกย่อยสลายเป็นกลูโคส และถูกดูดซึมจากลำไส้ น้ำตาลที่เข้าสู่หลอดเลือด จะถูกเก็บโดยเซลล์จากการทำงานของอินซูลินที่หลั่งจากตับอ่อน และกลายเป็นพลังงานให้ร่างกายได้ใช้

ถ้าตับอ่อนหลั่งอินซูลินน้อย หรือมีน้ำตาลเข้าหลอดเลือดมากเกินไป จะทำให้น้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น สภาพที่น้ำตาลในเลือดสูงเช่นนี้จะเรียกว่า “โรคเบาหวาน”

หลอดเลือดที่ปกติ

อินซูลินทำหน้าที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยการเก็บน้ำตาลในเลือดเข้าเซลล์ เพื่อให้เซลล์ใช้เป็นแหล่งพลังงานต่อไป

หลอดเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวาน

ถ้าตับอ่อนอ่อนแอลง จะทำให้อินซูลินลดลง ทำให้ไม่สามารถเก็บน้ำตาลเข้าเซลล์ได้ทำให้ระดับกลูโคสในเลือดเพิ่มขึ้น

วิธีการรักษาโรคเบาหวานโดยทั่วไปมีวิธีแบบไหนบ้าง?

การรักษาระยะเริ่มแรก

กล่าวกันว่าโรคเบาหวาน เป็นโรคที่รักษาให้หายขาดไม่ได้ หากเริ่มมีอาการของโรคแล้ว  จะใช้การควบคุมอาหารหรือออกกำลังกายในการปรับสมดุลให้น้ำตาลในเลือดไม่เพิ่มขึ้น  พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน มีความสำคัญมาก

การรักษาระยะกลางถึงระยะปลาย

ถ้าระดับน้ำตาลในเลือดยังไม่ลดลง แพทย์จะสั่งยาให้รับประทาน ถ้ายากินยังไม่สามารถควบคุมน้ำตาลในเลือดได้อีก ผู้ป่วยจำเป็นต้องฉีดอินซูลิน

ทำไมต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดด้วยล่ะ?

เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานาน จะเกิดสารที่ชื่อว่า AGEs (Advanced Glycation End Products) ในกระแสเลือด AGEs (Advanced Glycation End Products) นี้จะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น ภาวะหลอดเลือดแข็ง โรคเส้นประสาทอักเสบ หรือการทำงานของอวัยวะบกพร่อง

ในช่วงแรก ๆ มักจะไม่ค่อยมีอาการ และในตอนที่มีอาการจนสังเกตได้ โรคนี้มักจะดำเนินไปถึงระยะกลาง-ระยะปลายแล้ว ภาวะแทรกซ้อนหลัก ๆ ของโรคเบาหวาน ได้แก่ โรคจอประสาทตาเสื่อม โรคไต โรคเส้นประสาท และภาวะหลอดเลือดแข็ง

ความเสี่ยงของมะเร็งที่ผู้ป่วยโรคเบาหวานเป็นง่าย

จากสมาคมโรคเบาหวานแห่งญี่ปุ่น/สมาคมมะเร็งแห่งญี่ปุ่น “รายงานคณะกรรมการเกี่ยวกับโรคเบาหวานและมะเร็ง”
นอกจากนี้ ภาวะแทรกซ้อนที่น่ากลัวคือ ความเสี่ยงการเป็นมะเร็งที่เพิ่มขึ้น จริง ๆ แล้ว สาเหตุการเสียชีวิตที่มากที่สุดของผู้ป่วยโรคเบาหวาน คือ มะเร็ง  ความเสี่ยงโดยรวมของการเกิดมะเร็งเพิ่มขึ้น 20-30% และความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งแต่ละชนิดคือ มะเร็งตับ 1.97 เท่า, มะเร็งตับอ่อน 1.85 เท่า และมะเร็งลำไส้ใหญ่ 1.40 เท่า ซึ่งเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูง รายงานมาจากกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ และสมาคมโรคเบาหวาน

กล่าวกันว่าโรคเบาหวาน เป็นโรคที่รักษาไม่หายหากเป็นโรคแล้ว นอกจากนี้ ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งและภาวะแทรกซ้อนอีกมากมายด้วย ในตอนที่เริ่มมีอาการ เรามักจะพบว่าโรคเบาหวานดำเนินไปมากแล้ว

ลักษณะเด่นของเวชศาสตร์ฟื้นสภาพคลินิกของเรา

คลินิกของเราจะเพาะเลี้ยงและฉีดสเต็มเซลล์จากไขมันของคุณเอง เพื่อซ่อมแซมและฟื้นฟูตับอ่อนและหลอดเลือด เราจะทำการรักษาโดยการฟื้นฟู “กลไกการลดน้ำตาลในเลือด” ที่คุณมี

เวชศาสตร์ฟื้นสภาพสำหรับโรคเบาหวานของคลินิกเราที่ทำภายใต้การอนุญาตของกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ

การฉีดสเต็มเซลล์ทางหลอดเลือดดำ

หลังจากที่ฉีดสเต็มเซลล์จากไขมันเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะเกิดการฟื้นสภาพและซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่อ่อนแอด้วย Homing effect ของสเต็มเซลล์ การฉีดสเต็มเซลล์ทางหลอดเลือดดำ จะทำให้สเต็มเซลล์ไหลตามหลอดเลือดดำและเข้าสู่ตับอ่อนที่อ่อนแอ การฉีดสเต็มเซลล์ทางหลอดเลือดดำ เป็นการรักษาที่ยังพบน้อยในประเทศ และคลินิกของเราได้รับอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ ใน “การรักษาโรคเบาหวานด้วยเวชศาสตร์ฟื้นสภาพ”

อาการดีขึ้นจากการฉีดสเต็มเซลล์ทางหลอดเลือดดำ

สเต็มเซลล์ 100 ล้านเซลล์ที่ฉีดเข้าไปจะซ่อมแซมอวัยวะที่อ่อนแอ
อวัยวะแข็งแรงขึ้น!!

ความแตกต่างระหว่างการรักษาแบบดั้งเดิมและเวชศาสตร์ฟื้นสภาพ

ในวิธีการรักษาแบบดั้งเดิมคือการทานยาหรือการฉีดอินซูลิน อาจจะชะลอการดำเนินโรคเบาหวานได้ แต่ไม่ใช่การรักษาที่ต้นเหตุ

ในการรักษาโรคเบาหวานด้วยเวชศาสตร์ฟื้นสภาพ สเต็มเซลล์จะทำหน้าที่ฟื้นสภาพและซ่อมแซมตับอ่อนและหลอดเลือด เพื่อเพิ่มการหลั่งอินซูลินและกระตุ้นการเก็บน้ำตาลของหลอดเลือด และลดระดับน้ำตาลในเลือดในเวลาต่อมา นอกจากนี้ยังมีผลในการยับยั้งการอักเสบจากโรคเบาหวาน ทำให้อาการแทรกซ้อนดีขึ้นได้อีกด้วย

*นอกจากนี้ยังมีข้อดีคือ ต่ออวัยวะที่อ่อนแออื่น ๆ ก็จะได้รับการซ่อมแซมด้วย Homing effect ของสเต็มเซลล์

สามารถคาดหวังผลการรักษาเหล่านี้ได้

ทำให้ไม่ต้องฉีดอินซูลิน

ทำให้ลดปริมาณยา หรือไม่ต้องทานยาก็ได้

ทำให้ไม่ต้องจำกัดอาหารอย่างเคร่งครัด หรือลดการออกกำลังกาย

ทำให้อาการแทรกซ้อนดีขึ้น

ทำให้อาการชาที่มือและเท้าดีขึ้น และโรคจอประสาทตาเสื่อมจากเบาหวานดีขึ้น

ทำให้การทำงานของไตดีขึ้น

ผู้ป่วยบางรายที่รับการรักษาโรคเบาหวานด้วยเวชศาสตร์ฟื้นสภาพ สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างมาก แน่นอนว่าเราไม่สามารถฟันธงได้ว่า “จะหายอย่างแน่นอน” เพราะผลการรักษาจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน แต่เราสามารถคาดหวังผลการรักษาเช่นนี้ ซึ่งแตกต่างจากการรักษาแบบทั่วไป

“การรักษาโรคเบาหวานด้วยเวชศาสตร์ฟื้นสภาพ” เป็นการรักษาที่มีโอกาสรักษาโรคเบาหวานที่กล่าวกันว่าไม่หายขาดที่ต้นเหตุได้

ขั้นตอนการรักษาด้วยสเต็มเซลล์จากไขมันของตัวเอง

การรักษาด้วยสเต็มเซลล์ จะเก็บเนื้อเยื่อไขมันของคุณเพียงเล็กน้อยหลังฉีดยาชา ทำการเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์โดยใช้เวลาประมาณ 1 เดือน และนำเซลล์ฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ เป็นการรักษาแบบไปเช้าเย็นกลับแบบง่าย ๆ เป็นภาระต่อร่างกายน้อย
เราจะตรวจสภาพร่างกายในปัจจุบันอย่างละเอียด และพิจารณาว่าสามารถรักษาได้หรือไม่ หลังจากนั้นเราจะอธิบายแผนการรักษา และข้อดี-ข้อเสียของการรักษาอย่างครบถ้วน
เราจะทำการเจาะเลือด เพื่อตรวจสอบว่ามีการติดเชื้อหรือไม่ และสามารถรับการรักษาได้หรือไม่
เราจะฉีดยาชาเฉพาะที่บริเวณท้องส่วนล่าง และกรีดเปิดประมาณ 1 ซม. เพื่อเก็บไขมันมาประมาณ 2-3 เม็ด ขนาดเท่าเม็ดข้าว ขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 20 นาที และแทบไม่รู้สึกเจ็บปวดเลย
เพาะเลี้ยงเซลล์ใน CPC (ห้องแปรรูปเซลล์) ขั้นตอนนี้จะใช้เวลาประมาณ 4-6 สัปดาห์
สเต็มเซลล์ที่เพาะเลี้ยงจะถูกฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ กระบวนการจะสิ้นสุดในเวลาประมาณ 30 นาที
เวชศาสตร์ฟื้นสภาพ มีศักยภาพในการรักษาที่ไม่พบในการรักษาแบบดั้งเดิม เราเห็นผู้ป่วยหลายท่านที่มีความสุขจากการรักษาด้วยสเต็มเซลล์ เพราะทำให้สามารถทำในสิ่งที่เคยทำไม่ได้มาก่อน เราหวังว่าการรักษานี้จะแพร่หลายมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อที่จะให้ความหวังใหม่แก่ผู้ป่วย

LICENSE

สถาบันการแพทย์ที่ได้รับการอนุมัติจากกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ

ยื่นแผนการให้การรักษาเวชศาสตร์ฟื้นสภาพประเภท 2/3 แล้ว
รีแพร์เซลล์คลินิก ทำการยื่นแผนการให้การรักษาเวชศาสตร์ฟื้นสภาพประเภท 2/3 ให้กับกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ ซึ่งได้รับการอนุมัติแล้ว

การรักษาโรคเบาหวาน โดยใช้สเต็มเซลล์ที่ได้มาจากไขมันของผู้ป่วยเอง

คลินิกของเราเป็นหนึ่งในไม่กี่แห่งในญี่ปุ่น ที่มีเวชศาสตร์ฟื้นสภาพที่ล้ำสมัยสำหรับ “โรคเบาหวาน” ฯลฯ โดยใช้สเต็มเซลล์ของผู้ป่วยเองในการรักษา และการฉีด PRP (พลาสม่าเกล็ดเลือดเข้มข้น) ภายในข้อ ภายใต้กฎหมายความปลอดภัยเวชศาสตร์ฟื้นสภาพ เวชศาสตร์ฟื้นสภาพ ต้องได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดโดยคณะกรรมการเวชศาสตร์ฟื้นสภาพที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ และหลังจากที่วิธีการรักษา ความปลอดภัย โครงสร้างบุคลากรทางการแพทย์ ฯลฯ ถูกพิจารณาว่าเหมาะสมแล้วเท่านั้น จึงจะยื่นแผนการรักษาไปยัง กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการได้