What will happen?

คุณถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคไขมันพอกตับ โรคตับแข็ง หรือโรคตับอักเสบ แล้วยังปล่อยทิ้งไว้อยู่หรือไม่?

ตับเป็นอวัยวะที่ใหญ่ที่สุดในร่างกาย และมีหน้าที่ที่สำคัญมากเราเห็นความสำคัญนั้นได้จากการทำมีสำนวนเกี่ยวกับตับมาก เช่น “ตับแตก” “ตับแลบ” เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม โรคที่เกี่ยวกับตับนั้นไม่ค่อยแสดงอาการ และตอนที่มีอาการมักแปลว่าโรคดำเนินไปหนักแล้ว การรักษาจึงเป็นเส้นทางที่ยากลำบาก
การรักษาตับทาง “เวชศาสตร์ฟื้นสภาพ” โดยใช้สเต็มเซลล์ สเต็มเซลล์จะเปลี่ยนไปเป็นเซลลตับ ซึ่งนอกจากจะทำให้โรคไขมันพอกตับดีขึ้นได้แล้ว ยังสามารถสลายพังผืดในตับที่เคยถูกมองว่าไม่สามารถรักษาได้ด้วยพร้อมทั้งซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหาย

ก่อนอื่น เรามาพูดถึงการทำงานของตับกันดีกว่า

หน้าที่ของตับหลัก ๆ มีอยู่ 3 อย่าง คือ 1.เมตาบอลิซึม 2.การสลายสารพิษ และ 3.การสร้างและ。

1.เมตาบอลิซึม

สิ่งที่เรารับประทานจะถูกย่อยในกระเพาะอาหารและลำไส้ และสารอาหารที่ได้มาจะถูกเก็บที่ตับ ตับจะดึงสารอาหารที่เก็บไว้ออกมาใช้ตามความจำเป็น

2.การกำจัด/สลายสารพิษ

ตับมีหน้าที่ในการเปลี่ยนแอลกอฮอล์และยาที่เรารับประทานให้เป็นสารที่มีความเป็นพิษต่ำ และขับออกจากร่างกายผ่านปัสสาวะ

3.การสร้างและหลั่งน้ำดี

หน้าที่หลักของน้ำดีคือ การทำให้หยดไขมันมีขนาดเล็กลง และการทำให้โปรตีนย่อยง่ายขึ้น
นอกจากนี้ น้ำดียังจำเป็นต่อการขับคอเลสเตอรอลออกจากร่างกายด้วย

โรคไขมันพอกตับ คืออะไร

จำนวนผู้ป่วย “โรคไขมันพอกตับ” มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในไม่กี่ปีมานี้ และมีรายงานว่าผู้ป่วยที่รับการตรวจสุขภาพกว่า 20-30% เป็นโรคไขมันพอกตับ
หากปล่อย “โรคไขมันพอกตับ” ทิ้งไว้มีโอกาสทำให้เกิดโรคที่ร้ายแรงต่าง ๆ เช่น การทำงานของตับที่แย่ลง, โรคตับแข็ง, มะเร็งตับและทำให้ภาวะหลอดเลือดแข็งดำเนินหนักขึ้นอีกด้วย

นอกจากนี้ สำหรับผู้ที่มีโรคเบาหวาน กล่าวกันว่าการทำงานของตับที่แย่ลงทำให้โรคเบาหวานอาการหนักขึ้นได้อีกด้วย การโรคไขมันพอกตับดำเนินไปจนกลายเป็นโรคตับแข็ง ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษา และมีอัตราการเสียชีวิตที่สูงด้วย ให้นึกไว้ว่าการที่เป็นโรคไขมันพอกตับ คือการที่ร่างกายส่งสัญญาณเตือนจากไฟเขียวกลายเป็นไฟเหลืองผู้ป่วยต้องมีความตระหนักว่า โรคนี้เป็นโรคที่น่ากลัว ต้องไม่ปล่อยทิ้งไว้และต้องรับมืออย่างรวดเร็ว

ให้นึกไว้ว่าการที่เป็นโรคไขมันพอกตับ คือการที่ร่างกายส่งสัญญาณเตือนเป็นไฟเหลือง
ถึงจะไม่มีอาการที่รู้สึกได้ด้วยตัวเอง แต่ก็ยังเป็นโรคที่น่ากลัวมาก และต้องรับการรักษาอย่างรวดเร็ว

ชาย 40% เป็นโรคไขมันพอกตับคนที่ผอม ก็เป็นโรคไขมันพอกตับได้

โรคไขมันพอกตับ กล่าวกันว่ามีสาเหตุมาจากการกินมากเกินไป, การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป, โรคอ้วน และการลดน้ำหนักที่มากเกินไป ซึ่งโรคนี้เป็นโรคที่มีไขมันไตรกลีเซอไรด์สะสมในตับ

นอกจากนี้แล้ว การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปจะทำให้เกิดการสังเคราะห์ไตรกลีเซอไรด์ได้ง่ายขึ้น ตอนที่ตับจะสลายแอลกอฮอล์

นอกจากนี้ คนที่เป็นโรคอ้วนจะมีอัตราการเผาผลาญกรดไขมันที่ตับต่ำ ทำให้ไตรกลีเซอไรด์สะสมมากขึ้นอีก  แล้วก็มีปรากฏการณ์ที่น่าประหลาดใจอีกว่า การลดน้ำหนักที่กะทันหันจะทำให้เกิดภาวะขาดสารอาหาร และทำให้เกิดสภาพที่เรียกว่า “โรคไขมันพอกตับจากภาวะขาดสารอาหาร”ได้อีกด้วย

ปกติ

ถ้ามีความสมดุลระหว่างพลังงานที่ได้รับกับพลังงานที่ใช้ ก็จะไม่มีปัญหา

ขั้นตอนการดำเนินโรคของโรคไขมันพอกตับ

หากคุณรับประทานไขมันหรือน้ำตาลมากเกินไป บวกกับออกกำลังกายน้อยจะทำให้ไขมันไตรกลีเซอไรด์ที่เผาผลาญไม่หมด มาสะสมอยู่ที่ตับมากเกินไป

ความเสี่ยงการดำเนินโรคของโรคไขมันพอกตับ

คุณกำลังโล่งใจเพราะว่าคุณไม่ดื่มแอลกอฮอล์หรือเปล่า?

ที่จริงแล้วโรคไขมันพอกตับในคนญี่ปุ่น สาเหตุที่พบได้มากที่สุดไม่ใช่การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป แต่เป็น “การกินมากเกินไป” ซะมากกว่า

“โรคไขมันพอกตับที่ไม่ได้มาจากแอลกอฮอล์” นี้มักจะถูกละเลย และบ่อยครั้งที่อาการดำเนินไปหนักแล้วในตอนที่รู้ตัวอีกครั้ง

สามารถคาดหวังผลการรักษา

กับอาการเหล่านี้ได้

เหนื่อยง่าย

ปวดไหล่

รู้สึกเหม่อ

โรคไขมันพอกตับจะไม่มีอาการที่ชัดเจน เช่น อาการปวด แต่การที่เลือด “ข้นเหนียว” ทำให้ออกซิเจนและสารอาหารไปไม่ถึงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และอาจทำให้เกิดอาการตามที่เขียนด้านซ้ายได้

หากท่านเข้าได้กับอาการเหล่านี้ เราแนะนำให้ลองตรวจเลือดดูสักครั้งค่ามาตรฐานของ ALT(GTP) ที่แสดงการทำงานของตับคือไม่เกิน 30(IU/L)แต่ถ้าเกิน 20 (IU/L) แสดงว่าอาจอยู่ในภาวะก่อนการเป็นโรคไขมันพอกตับ

นอกจากนี้ “ภาวะดื้ออินซูลิน”

ก็จะดำเนินง่ายขึ้น
การเป็นโรคไขมันพอกตับ จะเพิ่มความเสี่ยงของอาการเจ็บหน้าอกและโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย  ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน จะมีความเสี่ยงที่อาการโรคเบาหวานกำเริบมากขึ้น  นอกจากนี้ “ภาวะดื้ออินซูลิน” ที่ทำให้ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินยากขึ้นก็จะดำเนินง่ายขึ้นอีกด้วย

ตับมีหน้าที่รักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ โดยการเก็บกลูโคสในเลือดที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังรับประทานอาหาร นอกจากนี้แล้ว ตับยังส่งสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการสร้างอินซูลินให้กับตับอ่อนอีกด้วย

ดังนั้น หากการทำงานของตับถูกรบกวนจากการกินมากเกินไป การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป หรือโรคตับอักเสบจากไวรัสจะทำให้อาการของเบาหวานถูกกระตุ้นง่ายขึ้นการทำงานของตับจะแย่ลงง่ายในผู้ป่วยโรคเบาหวาน และมีโอกาสเป็นโรคตับจากอาการแทรกซ้อนได้

กลไกที่ทำให้โรคเบาหวานแย่ลงจากโรคไขมันพอกตับ

STEP01 สภาพปกติ

โดยปกติแล้ว ตับและอินซูลินจะทำงานอย่างปกติ เพื่อส่งกลูโคสไปยังเซลล์ของอวัยวะต่าง ๆ  ทำให้น้ำตาลในเลือดลดลง

STEP02 การทำงานของตับแย่ลง ~ โรคไขมันพอกตับ

ในสภาพที่การทำงานของตับลดลง จะทำให้น้ำตาลไม่เข้ากระแสเลือด ทำให้มีน้ำตาลถูกเก็บในเซลล์ตับและสะสมอยู่ในรูปแบบของไขมัน ทำให้เกิดเป็นโรคไขมันพอกตับ

STEP03 โรคเบาหวานแย่ลง

ตับที่กลายเป็นโรคไขมันพอกตับไปแล้ว จะใช้ไขมันที่สะสมในการปล่อยกลูโคสเข้ากระแสเลือดมากขึ้น ทำให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้แล้วยังมีการหลั่งอินซูลินมากเกินความจำเป็นอีกด้วย

สิ่งที่จะทำให้ตับอ่อนเหนื่อยล้า และทำให้ไม่สามารถทำงานได้อย่างปกติ ตับอ่อนที่ไม่สามารถทำงานได้อย่างปกติ จะไม่สามารถหลั่งอินซูลินในปริมาณที่จำเป็นได้ จึงทำให้โรคเบาหวานกำเริบหนักขึ้น

ดังนั้น การปล่อยโรคไขมันพอกตับหรือความผิดปกติของตับทิ้งไว้ นอกจากจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคตับแข็งหรือมะเร็งตับแล้ว ยังมีโอกาสทำให้โรคเบาหวานแย่ลง และเพิ่มความเสี่ยงการเป็นโรคหลอดเลือดสมองอีกด้วย กรุณาตระหนักถึงเรื่องนี้ไว้ให้ดี
สิ่งที่สำคัญคือ การรับมือไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ นี่เอง

เกี่ยวกับโรคตับอักเสบ

โรคตับอักเสบ คือโรคที่ทำให้เกิดการอักเสบที่ตับ จากสาเหตุบางประการ เซลล์ตับจะถูกทำลายจากการอักเสบ ทำให้การทำงานของตับค่อย ๆ แย่ลง สาเหตุที่พบได้มากที่สุดของโรคตับอักเสบคือ “ตับอักเสบจากไวรัส” ซึ่งการอักเสบของตับเกิดขึ้นเนื่องจากการติดเชื้อไวรัส

หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษา มีโอกาสที่โรคจะดำเนินหนักขึ้นจนกลายเป็นโรคตับแข็งหรือมะเร็งตับได้

โรคตับ มีการดำเนินโรคอย่างไร?

โรคจะดำเนินไปทีละน้อย จากปกติ→โรคไขมันพอกตับ (ตับอักเสบเฉียบพลัน/ตับอักเสบเรื้อรัง) →ตับแข็งและมะเร็งตับ

สาเหตุ

พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น ดื่มแอลกอฮอล์หรือกินมากเกินไป / โรคอ้วน

สาเหตุจากไวรัส

หลังจากช่วงยุคปี 1980 มีการค้นพบว่าในผู้ป่วยโรคไขมันพอกตับ จะมีบางส่วนที่การสร้างพังผืดในตับ (การที่ตับแข็งขึ้น) ดำเนินหนักขึ้นจนเข้าสู่ภาวะตับอักเสบเรื้อรัง (ตับอักเสบจากโรคไขมันพอกตับ) และอาจกลายเป็นโรคตับแข็งหรือมะเร็งตับในเวลาต่อมาได้
หากคุณปล่อยโรคไขมันพอกตับทิ้งไว้ โรคอาจจะดำเนินไปเป็นโรคตับแข็งโดยไม่รู้ตัว และอาจจะพบมะเร็งตับในตอนที่รู้ตัวอีกครั้งก็ได้นั่นเอง

ถ้าหากเป็นโรคตับแข็งจะเป็นอย่างไร?

หากปล่อยสภาพตับอักเสบจนเรื้อรัง จะทำให้การสร้างพังผืดที่ตับดำเนินมากขึ้น  พังผืดจะเพิ่มมากขึ้น จนทำให้ตับมีลักษณะแข็ง เรียกว่า โรคตับแข็ง
การเกิดพังผืดและโรคตับแข็ง เป็นโรคที่แม้แต่อวัยวะที่ฟื้นตัวเองได้อย่างตับก็ไม่สามารถแก้ไขให้เป็นเหมือนเดิมได้ เป็นโรคที่น่ากลัวมาก

ในระยะแรก จะมีอาการเบื่ออาหารและรู้สึกเหนื่อยตามร่างกาย แต่ถ้าอาการเริ่มหนักขึ้น จะเริ่มมีอาการที่เรียกว่า ดีซ่าน ซึ่งจะทำให้ผิวและตาขาวมีสีเหลือง  อาการนี้เกิดจากการที่ บิลิรูบิน ซึ่งเป็นสารสีเหลือง ไม่ถูกสลายที่ตับ

ถ้าโรคดำเนินต่อไปอีก อาจมีน้ำสะสมในช่องท้องหรือเกิดอาการบวม หรืออาจเกิดเส้นเลือดขอดบริเวณท้องได้ ซึ่งเป็นสภาพที่อันตรายถึงชีวิต

นอกจากนี้แล้ว การที่แอมโมเนียซึ่งเป็นสารพิษเพิ่มขึ้นในกระแสเลือดและไปถึงสมอง จะทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนที่เรียกว่า โรคสมองจากโรคตับ ซึ่งทำให้เกิดอาการที่รุนแรง เช่น การเปลี่ยนแปลงของระดับความรู้สึกตัวหรือโคม่า
นอกจากนี้ ยังมีโอกาสที่จะดำเนินโรคไปเป็นมะเร็งเซลล์ตับเพิ่มขึ้นด้วย

วิธีการรักษาโรคตับโดยทั่วไป

ยังไม่มีการรักษาที่รับรองว่าได้ผลสำหรับโรคไขมันพอกตับ การรักษาหลักจึงเป็นการแก้ไขพฤติกรรมการใช้ชีวิต
เนื่องจากโรคนี้มักจะไม่มีอาการที่สังเกตได้ด้วยตัวเอง จึงมักจะถูกปล่อยทิ้งไว้ด้วย
โรคตับแข็งก็ไม่มีวิธีการรักษาที่ต้นเหตุเช่นกัน และจะรักษาโดยการควบคุมอาหาร เพื่อไม่ให้อาการโรคตับแข็งดำเนินไปมากกว่านี้ แพมย์อาจมีการสั่งยาเพื่อรับมือกับสาเหตุ (เช่น การให้ยาต้านไวรัสสำหรับโรคตับอักเสบจากไวรัส) แต่ตัวโรคตับแข็งเองจะค่อย ๆ ดำเนินหนักขึ้นเรื่อย ๆ

ในกรณีของโรคมะเร็ง อาจรักษาได้ด้วยการผ่าตัด แต่ตัวโรคตับอักเสบหรือโรคตับแข็งเองจะไม่ได้หายจากการผ่าตัด

กล่าวโดยสรุปก็คือ ในการรักษาด้วยสิทธิการรักษาในปัจจุบัน ยังไม่สามารถรักษาโรคไขมันพอกตับและโรคตับแข็งจากต้นเหตุได้ถ้าโรคไขมันพอกตับและโรคตับอักเสบ ดำเนินโรคจนกลายเป็นโรคตับแข็งหรือมะเร็งตับ จะทำให้การใช้ชีวิตประจำวันลำบาก และในกรณีที่เลวร้ายที่สุด อาจถึงแก่ชีวิตได้

เวชศาสตร์ฟื้นสภาพสำหรับโรคตับที่คลินิกของเรา

ที่คลินิกของเราจะไม่ได้ให้การรักษาแบบทั่วไป แต่จะใช้ “สเต็มเซลล์” ที่สามารถเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์ประเภทต่าง ๆ
เราจะทำการเพาะเลี้ยงสเต็มเซลล์ เพื่อเพิ่มจำนวนให้เป็นหลายพัน-หลายหมื่นเท่า และฉีดกลับเข้าสู่ร่างกายเพื่อ “เรียกคืน” การทำงานของตับที่ปกติ

การฉีดสเต็มเซลล์ทางหลอดเลือดดำ

สเต็มเซลล์จากไขมันของตัวเอง มีคุณสมบัติในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหาย และการที่เราฉีดสเต็มเซลล์เข้าบริเวณที่อ่อนแอโดยตรง จะช่วยส่งเสริมการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ สำหรับโรคข้อต่อและกล้ามเนื้อ เราสามารถฉีดสเต็มเซลล์เข้าไปโดยตรงในบริเวณที่เสียหาย แต่สำหรับอวัยวะภายใน สเต็มเซลล์จะต้องเคลื่อนที่ไปตามหลอดเลือดเท่านั้นถึงจะไปถึงอวัยวะนั้นได้ สำหรับการฉีดเซลล์เข้าหลอดเลือดดำนี้ จริงอยู่ว่าสถาบันการแพทย์ที่ยื่นและได้รับการอนุมัติแผนการรักษาจากกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ มีน้อยมาก แต่ที่คลินิกของเรา ผู้ป่วยสามารถรับการรักษาโรคตับด้วยเวชศาสตร์ฟื้นสภาพได้

อาการดีขึ้นจากการฉีดสเต็มเซลล์ทางหลอดเลือดดำ

สเต็มเซลล์ 100 ล้านเซลล์ที่ฉีดเข้าไปจะซ่อมแซมอวัยวะที่อ่อนแอ
อวัยวะแข็งแรงขึ้น!!

เวชศาสตร์ฟื้นสภาพสำหรับโรคตับ ผลที่คาดว่าจะได้รับ

การรักษาโรคตับ จะมีวิธีการรักษาโดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตตามที่กล่าวข้างต้น แต่วิธีการเหล่านี้ไม่ใช่การรักษาที่ต้นเหตุ แต่เป็นแค่การป้องกันไม่ให้โรคดำเนินไปสู่โรคตับแข็งหรือมะเร็งเท่านั้น
สเต็มเซลล์ 100 ล้านเซลล์ที่ถูกฉีดใน “เวชศาสตร์ฟื้นสภาพตับ” จะหาเนื้อเยื่อส่วนที่เกิดการอักเสบหรือเกิดพังผืดจนแข็ง และทำการสลาย/ซ่อมแซม เพื่อทำให้เกิดความเป็นไปได้ที่การทำงานของตับจะกลับมาปกติเหมือนเดิม

นอกจากนี้ สำหรับโรคไขมันพอกตับ เราสามารถคาดหวังผลการฟื้นฟูตับที่อ่อนแอจากไขมันสะสม และการที่สเต็มเซลล์วิ่งผ่านหลอดเลือด จะมีผลทำให้การหมุนเวียนของเลือดดีขึ้น และคาดหวังการบรรเทาอาการเหนื่อยง่ายได้ด้วย
ถ้าตับกลับมาแข็งแรงและเมตาบอลิซึมดีขึ้น จะทำให้ไขมันค่อย ๆ ลดลง และทำให้โรคไขมันพอกตับดีขึ้นได้แน่นอนว่า การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตก็เป็นจุดสำคัญเช่นกัน

*คุณสามารถคาดหวังผลดีนอกเหนือจากที่คาดไว้ด้วย เช่น อวัยวะอื่นที่อ่อนแอก็ทำงานดีขึ้นตาม เพราะว่าสเต็มเซลล์ 100 ล้านเซลล์ จะวิ่งผ่านหลอดเลือดกระจายไปทั่วร่างกาย

*นอกจากนี้ยังมีข้อดีคือ ต่ออวัยวะที่อ่อนแออื่น ๆ ก็จะได้รับการซ่อมแซมด้วย Homing effect ของสเต็มเซลล์
เราไม่สามารถฟันธงได้ว่า “จะหายอย่างแน่นอน” เพราะผลการรักษาจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน

ถูกปลดปล่อยจากความกังวลที่โรคดำเนินหนักขึ้นเรื่อย ๆ หรือความกลัวต่อการเกิดอาการแทรกซ้อน

อาจถูกปลดปล่อยจากชีวิตประจำวันที่ “ต้อง” ออกกำลังกายหรือจำกัดอาหาร

ความเป็นไปได้นี้ เป็นจุดที่เวชศาสตร์ฟื้นสภาพแตกต่างจากวิธีการรักษาแบบดั้งเดิมอย่างมาก การรักษาโรคตับทางเวชศาสตร์ฟื้นสภาพ โดยการฉีดสเต็มเซลล์จากไขมันทางหลอดเลือดดำ เป็นการรักษาล้ำสมัย ที่มีศักยภาพในการรักษาโรคตับให้หายจากต้นเหตุได้
เวชศาสตร์ฟื้นสภาพ มีศักยภาพในการรักษาที่ไม่พบในการรักษาแบบดั้งเดิม
เราเห็นผู้ป่วยหลายท่านที่มีความสุขจากการรักษาด้วยสเต็มเซลล์ เพราะทำให้สามารถทำในสิ่งที่เคยทำไม่ได้มาก่อน เราหวังว่าการรักษานี้จะแพร่หลายมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อที่จะให้ความหวังใหม่แก่ผู้ป่วย

LICENSE

สถาบันการแพทย์ที่ได้รับการอนุมัติจากกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ

ยื่นแผนการให้การรักษาเวชศาสตร์ฟื้นสภาพประเภท 2/3 แล้ว
รีแพร์เซลล์คลินิก ทำการยื่นแผนการให้การรักษาเวชศาสตร์ฟื้นสภาพประเภท 2/3 ให้กับกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ ซึ่งได้รับการอนุมัติแล้ว

การรักษาความผิดปกติของตับ โดยใช้สเต็มเซลล์ที่ได้มาจากไขมันของผู้ป่วยเอง

คลินิกของเราเป็นหนึ่งในไม่กี่แห่งในญี่ปุ่น ที่มีเวชศาสตร์ฟื้นสภาพที่ล้ำสมัยสำหรับ “โรคตับ” “โรคตับแข็ง” “โรคไขมันพอกตับ” ฯลฯ โดยใช้สเต็มเซลล์ของผู้ป่วยเองในการรักษา และการฉีด PRP (พลาสม่าเกล็ดเลือดเข้มข้น) ภายในข้อ ภายใต้กฎหมายความปลอดภัยเวชศาสตร์ฟื้นสภาพ เวชศาสตร์ฟื้นสภาพ ต้องได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดโดยคณะกรรมการเวชศาสตร์ฟื้นสภาพที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการ และหลังจากที่วิธีการรักษา ความปลอดภัย โครงสร้างบุคลากรทางการแพทย์ ฯลฯ ถูกพิจารณาว่าเหมาะสมแล้วเท่านั้น จึงจะยื่นแผนการรักษาไปยัง กระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการได้