การแนะนำตัวอย่างผู้ป่วยที่ข้อเข่า

จำเป็นต้องผ่าตัดทันทีหรือไม่?

การบาดเจ็บ/ฉีกขาดของหมอนรองกระดูกข้อเข่า จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดเสมอหรือไม่?

ถ้ากล่าวโดยสรุปก็คือ ควรทำการผ่าตัดดีกว่า อย่างไรก็ตาม บางครั้งเราก็อาจจะติดตามอาการโดยยังไม่ผ่าตัดก็ได้ตัวอย่างเช่น สมมติว่าคุณมีอาการปวดเข่าและไปโรงพยาบาล และจากการสแกน MRI คุณถูกวินิจฉัยว่าหมอนรองกระดูกข้อเข่าบาดเจ็บ แพทย์ส่วนใหญ่จะบอกว่า ถ้าอาการปวดเข่าของคุณพอทนได้และไม่รบกวนชีวิตประจำวัน คุณก็ไม่จำเป็นต้องรับผ่าตัด

แต่ว่าที่จริงแล้ว ผู้ป่วยควรจะได้รับการผ่าตัดมากกว่าเพราะหากเราปล่อยการบาดเจ็บที่หมอนรองกระดูกข้อเข่าไว้ ในไม่กี่ปีจะมีการดำเนินโรคกลายเป็น “โรคข้อเข่าผิดรูป”อย่างไรก็ตาม หลายคนก็เลือกที่จะไม่ผ่าตัดถ้ายังไม่รู้สึกเจ็บ และสำหรับแพทย์เองแล้ว การผ่าตัดหมอนรองกระดูกข้อเข่า มีความเสี่ยงที่จะไม่ทำให้อาการปวดดีขึ้น ในกรณีส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะไม่ผ่าตัด

ต้องมีอาการอย่างไรจึงจะทำการผ่าตัด?

แพทย์หลายคนจะแนะนำให้ทำการผ่าตัด หากคุณไม่สามารถเดิน งอ หรือเหยียดเข่าได้เนื่องจากอาการปวดก่อนที่ผมจะพบกับเวชศาสตร์ฟื้นสภาพ ผมก็เลือกการผ่าตัดส่องกล้องในผู้ป่วยที่มีอาการปวดจนใช้ชีวิตประจำวันไม่ได้ หรือผู้ป่วยที่หมอนรองกระดูกข้อเข่าติดอยู่ในข้อ จนทำให้การงอหรือเหยียดเข่าลำบาก

แต่ว่าในตอนนี้ เรามีทางเลือกใหม่คือ การรักษาด้วยสเต็มเซลล์ ซึ่งเป็นวิธีการรักษาที่สามารถทดแทนการผ่าตัดได้

การผ่าตัดอาจทำให้กระดูกอ่อนสึกหรอ

และทำให้ข้อต่อผิดรูปมากขึ้นได้!

การผ่าตัดหมอนรองกระดูกข้อเข่า มีอยู่ 2 วิธี

・วิธีการเย็บหมอนรองกระดูกข้อเข่าเข้าด้วยกัน

・วิธีการตัดหมอนรองกระดูกข้อเข่าออก

เนื่องจากที่หมอนรองกระดูกข้อเข่ามีกระแสเลือดไหลเวียนน้อย พอมีการบาดเจ็บแล้วจึงฟื้นฟูยาก และการเย็บก็อาจไม่ได้ช่วยให้กลับมาเป็นสภาพเดิม ดังนั้นในการผ่าตัด 90% จึงเลือกที่จะตัดหมอนรองกระดูกข้อเข่าออก

หน้าที่ของหมอนรองกระดูกข้อเข่า หากมีการตัดหมอนรองกระดูกข้อเข่า ซึ่งเป็นกันกระแทกของข้อเข่าออก กระดูกอ่อนจะสึกแน่นอนในไม่กี่ปีหลังผ่าตัด และเกิดการผิดรูปของข้อ การผ่าตัดเอาหมอนรองกระดูกข้อเข่าออก จะเพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นโรคข้อเข่าผิดรูปมากขึ้นหลายเท่า

รายงานทางคลินิกแสดงให้เห็นว่า หากติดตามผู้ป่วยหลังผ่าตัดหมอนรองกระดูกข้อเข่าไป 10 ปี พบว่า 30% ของผู้ป่วยกลายเป็นโรคข้อเข่าผิดรูป และหากเป็นนักกีฬา ผู้ที่เป็นโรคข้อเข่าผิดรูปจะเพิ่มถึง 70% เลยทีเดียว

โรคข้อเข่าผิดรูป คืออะไร?

ช่วงเริ่มแรก

  • ปวดเข่าตอนเริ่มเดิน หรือตอนลุกขึ้น
  • ถ้าเดินนาน ๆ จะเจ็บเข่า แต่จะหายเมื่อได้พักผ่อน

ช่วงดำเนินโรค

  • นั่งคุกเข่าหรือขัดสมาธิลำบาก
  • ขึ้นลงบันไดลำบาก
  • มีน้ำสะสมในข้อเข่า

ช่วงปลาย

  • เดินลำบาก เนื่องจากมีอาการปวดรุนแรง
  • ขาผิดรูปจนขาโก่งหรือขาฉิ่ง ทำให้ไม่สามารถยืดขาได้
การที่หมอนรองกระดูกข้อเข่ายังอยู่ และทำหน้าที่เป็นกันกระแทกเป็นสิ่งที่ดี อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่ , ความเสี่ยงที่การผ่าตัดเย็บหมอนรองกระดูก (เทคนิคการเย็บ) จะไม่สำเร็จ , ความเสี่ยงที่หมอนรองกระดูกข้อเข่าที่เย็บไว้จะฉีกขาดอีกครั้ง , อัตราความสำเร็จของการเย็บหมอนรองกระดูกข้อเข่าคือ 75% ถึง 90% , 30% ของผู้ป่วยจะมีหมอนรองกระดูกข้อเข่าฉีกขาดซ้ำภายใน 4 ปี , หากเกิดการฉีกขาดซ้ำ ผู้ป่วยจะต้องได้รับการผ่าตัดอีกครั้งเพื่อเอาหมอนรองกระดูกข้อเข่าออก , นอกจากนี้ การฟื้นฟูสมรรถภาพหลังการผ่าตัดเย็บจะใช้เวลาหลายเดือน , ในบางกรณี อาจจะไม่สามารถกลับไปทำงานอย่างรวดเร็วได้

เวชศาสตร์ฟื้นสภาพของคลินิกของเราสำหรับการบาดเจ็บ/ฉีดขาดของหมอนรองกระดูกข้อเข่า เป็นอย่างไร?

เวชศาสตร์ฟื้นสภาพ เหมาะสำหรับผู้ป่วยแบบนี้

ico-adapt01_1
ico-adapt02_1
ico-adapt03_1
ico-adapt04_1

ถ้าใช้เวชศาสตร์ฟื้นสภาพไม่จำเป็นต้องผ่าตัด

เอาหมอนรองกระดูกข้อเข่าออก
การผ่าตัดส่องกล้องเข้าไปในข้อ มีโอกาส 90% ที่จะเป็นการผ่าตัดเอาหมอนรองกระดูกข้อเข่าออก การผ่าเอาหมอนรองกระดูกข้อเข่าออก ทำให้มีความเสี่ยงที่ข้อต่อจะเสียรูปใน 2-3 ปีเพิ่มขึ้น

ถ้าใช้เวชศาสตร์ฟื้นสภาพที่ใช้สเต็มเซลล์จะไม่จำเป็นต้องผ่าตัดหรือเข้าโรงพยาบาล และไม่ต้องเอาหมอนรองกระดูกข้อเข่าออกด้วยไม่ว่าอาการบาดเจ็บหรือการฉีกขาดแบบใด ก็สามารถให้การรักษาโดยที่เก็บหมอนรองกระดูกข้อเข่าไว้ได้ จึงสามารถป้องกันการผิดรูปของข้อเข่าได้

ประโยชน์ของเวชศาสตร์ฟื้นสภาพอีกอย่างหนึ่ง

การบาดเจ็บที่หมอนรองกระดูกข้อเข่า แพทย์ส่วนใหญ่จะไม่แนะนำให้ผ่าตัด ตามที่ได้กล่าวมาก่อนหน้านี้แต่ว่าความเสียหายที่เกิดกับหมอนรองกระดูกข้อเข่า จะไม่ได้หายเองถึงแม้ว่าจะปล่อยทิ้งไว้ ส่วนที่เสียหายจะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และสักวันหนึ่งก็จะรู้สึกเจ็บมากขึ้น ดังนั้นทางเลือกที่ดีที่สุด คือการซ่อมแซมหมอนรองกระดูกข้อเข่าตั้งแต่เนิ่น ๆ

อย่างไรก็ตาม เราก็อยากจะหลีกเลี่ยงการผ่าตัด ถ้าอาการในตอนนี้ยังไม่ทำให้เกิดปัญหาในชีวิตประจำวันเวชศาสตร์ฟื้นสภาพที่ใช้สเต็มเซลล์ จะใช้การฉีดเซลล์ง่าย ๆ เท่านั้น จึงทำให้การรักษาหมอนรองกระดูกข้อเข่าง่ายขึ้นมากแปลว่าด้วยเวชศาสตร์ฟื้นสภาพ เราสามารถป้องกันความเสียหายที่มากไปกว่านี้ที่หมอนรองกระดูกข้อเข่า โดยการฉีดเซลล์ง่าย ๆ นั่นเอง

เวชศาสตร์ฟื้นสภาพที่ใช้สเต็มเซลล์ ถูกคาดหวังว่าจะสามารถรักษาการบาดเจ็บ/ฉีกขาดของหมอนรองกระดูกข้อเข่า โดยที่ไม่เกิดความเครียดกับร่างกายมาก

เวชศาสตร์ฟื้นสภาพ สามารถป้องกันการขยายตัวของรอยบาดเจ็บที่หมอนรองกระดูกข้อเข่าได้

เรามาดูรูปถ่ายจริงกันดีกว่า

การขยายตัวของส่วนที่บาดเจ็บบนหมอนรองกระดูกข้อเข่า

ถึงในตอนแรก รอยบาดเจ็บที่หมอนรองกระดูกข้อเข่าจะไม่ส่งผลต่อชีวิตประจำวัน แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้ รอยบาดเจ็บก็จะค่อย ๆ ขยาย และเป็นโรคข้อเข่าผิดรูปได้ในที่สุด

ปกติ

img-grade01

การบาดเจ็บที่หมอนรองกระดูกข้อเข่า

img-grade02

ลักษณะเด่นของเวชศาสตร์ฟื้นสภาพคลินิกของเรา

1. สำคัญ! ยิ่งจำนวนสเต็มเซลล์มากเท่าไหร่ ยิ่งได้ผลการรักษาที่ดีขึ้นเท่านั้น

โดยทั่วไปแล้วจะมีการฉีดเซลล์ประมาณ 10 ล้านเซลล์ แต่ที่คลินิกของเราสามารถฉีดสเต็มเซลล์ที่เพาะเลี้ยงได้ถึง 25-100ล้านเซลล์ โดยขึ้นกับสภาพของข้อต่อ
เรามาดูรูปถ่ายจริงกันดีกว่า
ยิ่งจำนวนสเต็มเซลล์มากเท่าไหร่ ผลการรักษาก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้น

ดูจากภาพจะเห็นได้ชัดเลยว่า ยิ่งมีการฉีดสเต็มเซลล์จำนวนมากเท่าไหร่ ก็จะมีการสร้างกระดูกอ่อนใหม่มากขึ้นเท่านั้น!

จำนวนสเต็มเซลล์ที่ฉีดเข้าไปในข้อต่อ โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านเซลล์แต่ว่าที่คลินิกของเรา เราสามารถฉีดสเต็มเซลล์สดใหม่ที่ไม่ได้แช่แข็งได้มากกว่า 200 ล้านเซลล์ โดยขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยเลยล่ะ

ยิ่งจำนวนสเต็มเซลล์มากเท่าไหร่ ผลการรักษาก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้นสิ่งนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วในข้อมูลทางคลินิกจากต่างประเทศ

ยิ่งจำนวนสเต็มเซลล์มากเท่าไหร่ ความเจ็บปวดก็จะน้อยลงเท่านั้น

2. เทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเซลล์ที่เป็นเอกลักษณ์

“อัตราการรอดชีวิตของสเต็มเซลล์สูง” เนื่องจากไม่มีการเก็บรักษาโดยการแช่แข็ง

การเปรียบเทียบ CPC (ห้องแปรรูปเซลล์)

CPC ของคลินิกของเรา

CPC ของโรงพยาบาลอื่น

การใช้ CPC (ห้องแปรรูปเซลล์) ชั้นนำของญี่ปุ่น ทำให้เราสามารถ “จัดเก็บเซลล์โดยไม่ต้องแช่แข็ง” ได้แล้ว

ยิ่งใช้สเต็มเซลล์ที่สดใหม่มากเท่าไหร่ การซ่อมแซมก็จะยิ่งเร็วขึ้นเท่านั้น ถ้ายกตัวอย่าง มันคล้ายกับที่ปลาทูน่าดิบที่ไม่ได้แช่แข็ง จะอร่อยกว่าปลาทูน่าที่นำมาละลายแข็ง!คลินิกของเราสามารถฉีดสเต็มเซลล์ที่มีชีวิตและสดใหม่ได้

ยิ่งมีสเต็มเซลล์ที่สดใหม่จำนวนมากเท่าไหร่ ผลการรักษาก็จะยิ่งดีขึ้นเท่านั้น สิ่งนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วในผลการวิจัยจากต่างประเทศ

นอกจากนี้ คลินิกของเรายังสามารถเพิ่มจำนวนสเต็มเซลล์ที่สดใหม่ให้เป็นมากกว่า100ล้านเซลล์อีกด้วย

คุณสมบัติอีกอย่างหนึ่งของเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเซลล์ที่เป็นเอกลักษณ์ของเรา

null
  • ปลอดภัยและไว้ใจได้ เพราะสเต็มเซลล์ถูกเพาะเลี้ยงจากเซลล์และเลือดของผู้ป่วยเอง
  • เนื่องจากไม่มีสิ่งเจือปนใด ๆ เช่น สารเติมแต่งหรือยา จึงมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงน้อย
  • ปริมาณไขมันที่ต้องเก็บมาน้อยมาก ประมาณ 2-3 เม็ด ขนาดเท่าเม็ดข้าว จึงเกิดความเครียดต่อร่างกายน้อย

ข้อควรทราบ เมื่อจะฉีดเซลล์หลายครั้ง

ความลับเบื้องหลังการรักษาคุณภาพสูง แทนที่จะแช่แข็งและเก็บไว้ล่วงหน้า คลินิกของเราใช้เวลาและความพยายามในการเพาะเลี้ยงเซลล์ในแต่ละครั้ง เราจึงสามารถฉีดสเต็มเซลล์ที่สดใหม่จำนวนมากขึ้นได้!

3.ใช้สเต็มเซลล์ที่มีอยู่ในไขมัน เกิดความเครียดต่อร่างกายน้อยกว่าการเก็บจากไขกระดูกหรือเยื่อหุ้มข้อ

สเต็มเซลล์ นอกจากเนื้อเยื่อไขมันแล้ว ยังพบได้ในไขกระดูก เยื่อหุ้มข้อ และอวัยวะภายในด้วย เซลล์จากแต่ละบริเวณมีลักษณะเฉพาะตัว ทำให้ผลจากการรักษามีความแตกต่างกัน คลินิกของเราใช้สเต็มเซลล์จากไขมัน ซึ่งมีความปลอดภัยสูงในการเก็บเซลล์ และกำลังได้รับความสนใจจากทั่วโลก

ใช้สเต็มเซลล์จากไขมัน

  • มีความปลอดภัยสูงในการเก็บเซลล์
  • เกิดความเครียดต่อร่างกายน้อยกว่าสเต็มเซลล์จากไขกระดูก เยื่อหุ้มข้อ หรืออวัยวะภายใน

ขั้นตอนการรักษาด้วยสเต็มเซลล์จากไขมันของตัวเอง

เราจะฉีดยาชาเฉพาะที่บริเวณท้องส่วนล่าง และกรีดเปิดประมาณ 5 มม. เพื่อเก็บไขมันมาประมาณ 2-3 เม็ด ขนาดเท่าเม็ดข้าว ขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 20 นาที และแทบไม่รู้สึกเจ็บปวดเลย
เพาะเลี้ยงเซลล์ใน CPC (ห้องแปรรูปเซลล์)
ต้องใช้เวลาประมาณ 4-6 สัปดาห์
สเต็มเซลล์ที่เพาะเลี้ยงจะถูกฉีดเข้าไปในข้อเข่า

เวชศาสตร์ฟื้นสภาพอีกแบบหนึ่งการรักษาด้วย PRP (พลาสม่าเกล็ดเลือดเข้มข้น) คืออะไร?

การรักษาด้วย PRP (พลาสม่าเกล็ดเลือดเข้มข้น) เป็นวิธีการรักษาที่ใช้เลือดของคุณเอง สมมุติว่า มีบาดแผลเกิดขึ้นตามร่างกาย ร่างกายจะพยายามซ่อมแซมโดยการใช้เกล็ดเลือดที่อยู่ในเลือด และ Growth Factor ที่มันปล่อยออกมา PRP คือน้ำเลือดที่ปั่นแยกเฉพาะส่วนที่มีเกล็ดเลือดและ Growth Factor ปริมาณมากออกมา เราสามารถใช้การทำงานของมัน ในการระงับอาการปวดข้อเข่าและการอักเสบจากการบาดเจ็บที่หมอนรองกระดูกข้อเข่า อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะระงับการอักเสบได้ แต่วิธีนี้ก็ยังไม่ใช่การรักษาที่ต้นเหตุ วิธีนี้มักจะใช้เพื่อการระงับการอักเสบที่ข้อเข่า ก่อนที่จะรับการรักษาด้วยสเต็มเซลล์

คลินิกของเราจะใช้ PRP ความเข้มข้นสูง ซึ่งวิธีปั่นแยก PRP เฉพาะตัว เพื่อทำให้เกล็ดเลือดเข้มข้นขึ้น PRP ของเรา ไม่มีสารกันเลือดแข็งเจือปน

ขั้นตอนการรักษาด้วย PRP

ทำการเจาะเลือด
ปั่นแยกส่วนของพลาสมาออกมา
ฉีดเข้าไปในบริเวณที่มีพยาธิสภาพ

เวชศาสตร์ฟื้นสภาพอีกแบบหนึ่งการรักษาด้วย

PRP (พลาสม่าเกล็ดเลือดเข้มข้น) คืออะไร?

ในเวชศาสตร์ฟื้นสภาพที่ใช้สเต็มเซลล์ สามารถซ่อมแซมและฟื้นสภาพหมอนรองกระดูกข้อเข่าที่บาดเจ็บได้อย่างไรก็ตาม แม้ว่า PRP จะสามารถบรรเทาอาการอักเสบได้ แต่ก็ไม่สามารถสร้างหมอนรองกระดูกข้อเข่าส่วนที่เสียหายขึ้นมาใหม่ได้ PRP ที่ไม่มีส่วนประกอบของสเต็มเซลล์ จะมีผลคล้ายกับการฉีดกรดไฮยาลูโรนิกและการฉีดสเตียรอยด์ มีประสิทธิภาพในการระงับการอักเสบของข้อเข่าเท่านั้น ดังนั้น วิธีนี้จึงไม่ใช่การรักษาที่ต้นเหตุ

การรักษาด้วย PRP

สกัด PRP ที่มีเกล็ดเลือดจำนวนมาก ฉีดเข้าไปในข้อเข่า ไม่มีสเต็มเซลล์ จึงไม่สามารถสร้างหมอนรองกระดูกข้อเข่าใหม่ได้

การรักษาด้วยสเต็มเซลล์

นำสเต็มเซลล์ออกมาจากร่างกาย และฉีดเข้าไปในข้อเข่า สเต็มเซลล์จะสร้างหมอนรองกระดูกข้อเข่าขึ้นมาใหม่

เกี่ยวกับการบาดเจ็บ/ฉีกขาดของหมอนรองกระดูกข้อเข่า

ภาพรวมและสาเหตุ

การบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา ความชรา เป็นต้น

อาจเกิดจากแรงกระทำภายนอกตอนที่เล่นกีฬา หรือความชราที่ทำให้หมอนรองกระดูกข้อเข่าบาดเจ็บง่าย และเกิดความเสียหายจากแรงกระทำเพียงเล็กน้อย หากเป็นการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา เอ็นยึดข้อที่อยู่ด้านในของเข่าหรือเอ็นไขว้หน้าข้อเข่า ก็อาจจะขาดหรือได้รับบาดเจ็บได้

ที่คลินิกของเรา มีการฉีดสเต็มเซลล์จากไขมันให้กับผู้ป่วยหลายราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะรู้จักคลินิกของเรา ตอนที่ลังเลว่าจะเข้ารับการดีหรือไม่ และจะรับการรักษาโดยใช้เวชศาสตร์ฟื้นสภาพ ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะพอใจมากที่การฉีดเซลล์ง่าย ๆ สามารถบรรเทาอาการปวดได้อย่างมาก และไม่ต้องรับการผ่าตัดอีกต่อไป

เราหวังว่าเวชศาสตร์ฟื้นสภาพนี้ จะเป็นที่รู้จักทั่วโลกในฐานะการรักษาที่ทดแทนการผ่าตัด